
เผยแพร่ |
---|
คนไทยกินปลาทูกันมานาน แล้วเราเริ่มปลาทูตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานะชัดเจน แต่เอกสารเก่าที่สุดที่ค้นพบในเวลานี้ ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับปลาทู คือหนังสืออักขราภิธานศรัท์ ฉบับหมอบรัดเล พิมพ์เมื่อปี 2416 (ตรงกับสมัยรัชากลที่ 5) ที่อธิบายลักษณะของปลาทูว่า “ปลาทู, เป็นปลาทะเลน้ำเค็มมีเกล็ด, ตัวมันกว้างศักสองนิ้ว, ยาวศักสิบนิ้ว” ส่วนภาพวาดปลาทูภาพแรกน่าจะเป็นภาพที่เขียนโดย หลวงมัศยจิตรกร ผู้ช่วยดร.สมิท (Dr. H. M. Smith) ผู้เชี่ยวชาญที่รัชกาลที่ 6 ทรงตั้งให้เป็นที่ปรึกษากรมรักษาสัตว์น้ำ (กรมประมงปัจจุบัน) เพื่อสำรวจพันธุ์ปลาต่างๆ ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม
จึงพอสรุปได้ว่าคนไทยทั่วไปรู้จักปลาทูอย่างน้อยก็ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
แต่การบริโภคปลาทูสดๆ ยังคงเป็นมีเฉพาะผู้อาศัยอยู่เมืองชายฝั่งทะเลหรือพื้นใกล้เคียง ส่วนผู้ที่อยู่ลึกเข้าไปตอนในของแผ่นดิน คงบริโภคเป็นปลาทูเค็ม เพราะการขนส่งยังไม่ดีนัก จนกระทั่งปี 2504 มีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรก เกิดนโยบายส่งเสริมการประมงเพื่อการบริโภคในประเทศและส่งออก ทำให้มีการลงทุนในการทำประมง เอกชนเริ่มมีเครื่องมือลากอวนที่ทันสมัย บวกกับการคมนคมขนส่งที่สะดวกขึ้น และอุตสาหกรรมห้องเย็นที่พัฒนามากขึ้น การบริโภคปลาทูสด ตลอดจนอาหารทะเลสดๆ ชนิดอื่น ในพื้นที่ห่างไกลชายทะเลจึงค่อยๆ เกิดขึ้น
แต่เมื่อเทียบกับอาหารทะเลส่วนใหญ๋ในเวลานั้นก็ยังมีราคาแพง เว้นแต่ปลาทูที่มีราคาถูก
นั่นทำให้ปลาทูกลายเป็นอาหารบ้านๆ อาหารของคนส่วนใหญ่ของประเทศ และเป็นอาหารของคนรายได้น้อยอยู่ช่วงหนึ่ง (ก่อนที่ปลาทูจะกลายเป็นอาหารราคาแพงในปัจจุบัน) เมนูเกี่ยวกับปลาทูที่นิยมกันมากที่สุดเห็นจะเป็น น้ำพริกปลาทู ทำให้สมัยหนึ่ง มันเป็นคำตอบที่สาวงามเวทีประกวดนางสาวไทยเมื่อ 30-40 ปี ใช้กัน เมื่อพิธีกรถามว่าถึงอาหารที่ชอบคืออะไร พวกเธอก็จะตอบว่า น้ำพริกปลาทู เพื่อแสดงว่ามีวิถีชีวิตเรียบง่าย เหมือนกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ความอร่อยของน้ำพริกปลาทูทำให้มันเป็นที่รู้จักและมีการนำมาแต่งเป็นบทเพลง ในยุคสมัยที่ต่างกัน

เพลงแรกคือ เพลงน้ำพริกปลาทูไทย ขับร้องโดยมีศักดิ์ นาครัตน์ นักร้องและนักแต่งเพลงแปลง ทำนองล้อจากเพลงสุกี้ยากี้ของญี่ปุ่น เพลงนี้น่าจะมีอายุประมาณ 40-50 ปี เนื้อเพลงว่า
“โอ้ยอดน้ำพริกปลาทูไทย อร่อยเพียงไหนเชิญชิมซิ ช่างเด็ดดีแท้ไม่เคยแพ้ ของไทยแท้รสแซ่บดี สุกียากี้ มีดีแค่ไหน ไม่พึ่งของไทยรสดีเลิศลอย
ไม่เชื่อลองลิ้ม เชิญชิมซิ จะต้องร้องซี้ว่า…อร่อย ช่างเด็ดดีนัก หากได้ลิ้ม แล้วต้องยิ้มว่าเลิศลอย เฝ้าคอยแต่มอง มองแต่น้ำพริก ล่ออีกหนเดียว เฮ้อ.. เป็นติดใจ
จะให้แซ่บอีหลี ผักจิ้มมีสิ..ยอดกว่าใคร ได้ยอดผักจิ้มไซร้ ประเดี๋ยวใจอ้าวข้าวหมดชาม
โอ้ยอดน้ำพริกปลาทูไทย ทั่วบ้านเรือนไหนใครก็ตาม หากขาดน้ำพริก ต้องหลีกหนี เฮ้อ.. อย่างนี้ไม่ได้ความ ต้องตามบ้านฉันเจอกันไม่เว้น เปิดตู้เห็นมีน้ำพริกถ้วยเดียว…”
อีกหนึ่งชื่อ เพลงน้ำพริกปลาทู ขับร้องโดย สามารถ พยัคฆ์อรุณ เป็นเพลงในช่วง 10 กว่าปีมานี้ เนื้อร้องว่า
“ดีใจได้เกิดมาชาติหนึ่ง ถึงเรามันไม่ดีเท่าไหร่ รอดตัวไม่เคยอดตาย ขอบใจข้าวแดงแกงร้อน เงินทองก็ยังพอหาได้ น้อยไปก็ยังพอมีอยู่ ไม่มีสเต๊กสตู ปลาทูน้ำพริกยังมี
ตัวของตัวก็แค่นี้ ก็ดีพอได้ ได้พออยู่ไป คนไหนใครระดับไหน ไม่มอง ไม่มองก็ปล่อยเขาไป ตัวของตัวก็แค่นี้ ก็ดีพอได้ ได้พออยู่ไป ตัวของเรา ก็เป็นเรื่องของเรา กินข้าวหม้อใครหม้อมัน โฮ …
แสนจะดีใจได้เกิดมาชาติหนึ่ง ถึงเรามันไม่ดีเท่าไหร่ รอดตัวไม่เคยอดตาย ขอบใจข้าวแดงแกงร้อน ไม่มีสเต๊กสตู ปลาทูน้ำพริกยังมี
แพงไม่แพงก็อิ่มท้องเท่ากัน สำคัญที่ยังได้กิน กินข้าวแกงก็มีวิตามิน ถูกลิ้นอร่อยเหมือนกัน แพงไม่แพงก็อิ่มท้องเท่ากัน สำคัญที่ยังได้กิน ของของเรา ไม่ต้องขอเขากิน เอ้ากินน้ำพริกปลาทู”
ถึงตรงนี้ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นแล้ว ไปเอาข้าวมากินกันดีกว่า แต่อย่าลืมยกน้ำพริกปลาทูมาด้วย
ข้อมูลจาก
กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม. “วิกฤตอาหารโลก ระเบิดสงครามชิงน่านน้ำ ตามรอยปลาทูสู่โครงการฟื้นฟูทะเลไทย” ใน, ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนมีนาคม 2539
ภาพปลา ในอนุสรณ์งานพระราชทาน หลวงมัศยจิตรการ (ประสพ ตีระนันท์) ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส 17 เมษายน 2508
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 18 สิงหาคม 2563