“ธนบุรี” ถิ่นหนูชุม! เพราะพระเจ้าตากฯ ไม่โปรดให้เลี้ยง “แมว” จนเกิดเรื่องยุ่งในวัง!?

พระเจ้าตาก ฟื้นฟูบ้านเมือง คน ไล่ หนู 9 ตระกูล จีนกรุงธนบุรี
จิตรกรรมวังเดิม พระเจ้าตากฟื้นฟูบ้านเมือง และมีภาพคนไล่หนูที่มากัดแทะกินข้าวเปลือก ภาพจิตรกรรมจัดแสดงภายในตำหนักเก๋งคู่ (เก๋งหลังใหญ่) พระราชวังธนบุรี (ภาพจากศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2567)

ใครจะเชื่อว่าสัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่าง “หนู” จะก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตภายในราชสำนักกรุงธนบุรีของสมเด็จพระเจ้าตากฯ เหตุด้วยพระเจ้าแผ่นดินทรงมุ่งมั่นฟื้นฟูเศรษฐกิจของราชอาณาจักร โดยให้ “ข้าว” เป็นสินค้าส่งออกสำคัญ แต่กลับทรงไม่โปรดให้เลี้ยงแมว “ผู้ล่า” ตัวฉกาจที่ช่วยจำกัดหนู ศัตรูคู่ยุ้งฉางเสียอย่างนั้น 

ทำให้ปัญหาหนูชุกชุมในกรุงธนบุรี ลุกลามบานปลายเข้าไปถึงเขตพระราชฐาน ชนิดล่วงล้ำถึงที่บรรทมของสมเด็จพระเจ้าตากฯ จนนำไปสู่เหตุร้ายในรัชสมัยของพระองค์

แต่เหตุไฉนสมเด็จพระเจ้าตากฯ จึงไม่โปรดให้เลี้ยงแมว? เรื่องนี้ กำพล จำปาพันธ์ อธิบายไว้ในบทความ “การมุ้งในพระราชวังธนบุรี : ‘วิบัติหนูกัดพระวิสูตร’ & พระเจ้าตากไม่ได้บ้า แค่โปรดหมา ไม่เลี้ยงแมว” (ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2567) ดังนี้ [เว้นวรรคคำ ปรับย่อหน้าใหม่ และเน้นคำเพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม]


 

เมื่อกรุงธนบุรีเป็นเมืองค้าข้าว 

สมัยกรุงธนบุรี การค้ากับต่างประเทศเป็นปัจจัยสำคัญของการกอบกู้ราชอาณาจักรหลังการเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2310 และเป็นสิ่งที่สร้างความมั่งคั่งแก่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และชนชั้นมูลนาย คหบดี ซึ่งเป็นชาวจีนเสียส่วนใหญ่

สินค้าออกที่สำคัญก็คือ “ข้าว” ทรงให้ปรับปรุงอุโบสถและวิหารของวัดสำคัญในเขตพระราชฐานบางแห่ง เช่น วัดมะกอก (วัดอรุณราชวราราม) วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) และวัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร) เป็นยุ้งฉางเก็บข้าวเสบียงและข้าวส่งออก   

บางแห่งก็ปรากฏเรื่องว่าเคยเป็นที่เก็บเกลือหรือยุ้งฉางเกลือ คือบริเวณด้านหลังศาลเจ้าพ่อฉางเกลือ  บางช่วงก็ใช้เป็นที่เก็บข้าวเสบียงเช่นกัน สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงให้ความสำคัญแก่การเพาะปลูกข้าวเพื่อส่งออกค่อนข้างมาก บางปีจะเห็นว่าทรงให้ทหารยามรักษาการณ์ได้กลับบ้านไปทำนา เป็นต้น  

แต่ในท่ามกลางการเป็นยุคที่ข้าวเป็นสินค้าส่งออกนั้น ข้าวก็เป็นแหล่งอาหารสำหรับ “หนู” ด้วย

กรุงธนบุรีจึงเกิดมีหนูชุกชุมขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ในเขตพระราชฐาน จากหลักฐานพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ซึ่งถือเป็นเอกสารบันทึกประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญสำหรับสมัยธนบุรี มีข้อความตอนหนึ่งที่ชวนให้คิดว่า ในย่านใจกลางกรุงที่เต็มไปด้วยข้าวและหนูชุกชุมนั้น วังที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เองอาจไม่ได้มีการเลี้ยงแมว หรือมีก็อาจไม่มากพอที่จะต่อกรกับบรรดา “คุณหนู ๆ” เหล่านี้ได้ ดังความในพระราชพงศาวดารกล่าวไว้ว่า

“ครั้น ณ เดือน ๕ หนูคะนองกินข้าวในยุ้งฉางและกัดทรัพย์สิ่งของทั้งปวงเสีย จึงมีรับสั่งให้ข้าทูลละอองฯ และราษฎรดักจับหนูมาส่งแก่กรมพระนครบาล หนูสงบหายไป”

อย่างไรก็ตาม ข้อความสุดท้ายข้างต้นที่ระบุว่า “หนูสงบหายไป” นั้น ไม่เป็นจริง เพราะยังปรากฏว่าหนูอาละวาดอยู่ต่อมาจนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “วิบัติหนูกัดพระวิสูตร” ผู้บันทึกพระราชพงศาวดารในส่วนนี้อาจสรุปรวบรัดตัดความเกินไป ขณะที่หลักฐานอื่นไม่ใช่แบบนั้น

จิตรกรรม วังเดิม กรุงธนบุรี คน ไล่ หนู
จิตรกรรมวังเดิม กรุงธนบุรี คนไล่หนู (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2567)

“วิบัติหนูกัดพระวิสูตร” เรื่องยุ่ง ๆ เมื่อวังพระเจ้าตากไม่มีแมว

ข้อความตามพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ที่หยิบยกมาข้างต้นนี้สอดคล้องตรงกับจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี ซึ่งได้บันทึกไว้ว่า ในวังพระเจ้าตากเกิดเหตุการณ์ “วิบัติหนูกัดพระวิสูตร รับสั่งให้ชิดภูบาล ชาญภูเบศร์ ฝรั่งคนโปรดทั้งคู่ ให้มาไล่จับหนูใต้ที่เสวยในที่ด้วย”

“พระวิสูตร” นั้นหมายถึง “มุ้ง” ที่กางสำหรับกันยุง ส่วน “ฝรั่ง” สองคน ที่คนหนึ่งมีตำแหน่งเป็น “ชิดภูบาล” กับอีกคนเป็น “ชาญภูเบศร์” นั้นเข้าใจว่าเป็นชาวสยามเชื้อสายโปรตุเกสที่บ้านกุฎีจีน

ไม่ปรากฏว่าฝรั่งสองคนนี้ใช้วิธีใดในการไล่จับหนู ใช้แมวเป็นผู้ช่วยหรือไม่ เพราะมีความเป็นไปได้ที่ชุมชนโปรตุเกสในกรุงธนบุรีจะเลี้ยงแมวไว้มาก หนูที่เข้ามากัดมุ้งถึงที่บรรทมและจับได้ในที่เสวยพระกระยาหารด้วยนั้น  นับว่าร้ายกาจมาก

“หนูกัดผ้า” ลางดีตามโหราศาสตร์ แต่พระเจ้าตากไม่เชื่อ!

ปกติแล้ว “หนูกัดผ้า” ถือเป็นลางบอกเหตุ เช่น ตามตำราโหราศาสตร์มีกล่าวว่า หนูกัดผ้าเป็นสัญญาณลี้ลับให้สังเกตดูว่ากัดเป็นรูปอะไร เช่น ถ้ากัดเป็นรูปปาก เจ้าของผ้านั้นจะได้ลาภสมดังปรารถนา ถ้ากัดเป็นรูปเดือนดาว จะได้เงินทองมากมาย ฯลฯ …

ถึงจะเป็นความเชื่อของยุคสมัยที่ทำให้คนกับหนูอยู่ร่วมกันได้ แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ หาได้เชื่อตามหลักโหราศาสตร์ข้างต้นไม่ หรือไม่ก็อาจเพราะหนูบุกรุกพระราชวังของพระองค์มาก จนถึงกับไม่เป็นอันบรรทมหลับได้ เพราะมีหนูมากัดมุ้งมาก

และเมื่อให้ฝรั่งโปรตุเกสมาจับหนู ก็จับได้แม้แต่กระทั่งในที่เสวยพระกระยาหาร เป็นเหตุให้ไม่วางพระราชหฤทัยว่าเป็นเรื่องนิมิตลี้ลับอะไร จึงให้คนมาจับหนูไปเสียให้หมด

อ่านเพิ่มเติม : “ไล่จับหนู” เป็นเหตุ พระเจ้าตาก สั่งประหารเจ้าจอมสุดโหด ผ่าอก-ทาเกลือ-ตัดมือเท้า

ทั้ง ๆ ที่แมวมีความสำคัญนิยมเลี้ยงกันตามบ้านเรือนไม่เว้นแม้ในเขตพระราชฐานมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่กรุงธนบุรีเป็นรัฐค้าข้าว ต้องป้องกันหนูไม่ให้มารบกวนข้าว

แต่เหตุใดในวังพระเจ้าตากจึงไม่มีแมว?

ประเด็นนี้ดูเหมือน “หลวงสรวิชิต” (หน) ผู้ซึ่งต่อมาจะมีตำแหน่งเป็น “เจ้าพระยาพระคลัง” (หน) ในสมัยรัชกาลที่ 1 เคยระบุไว้ใน “ลิลิตเพชรมงกุฎ” ซึ่งเป็นงานประพันธ์ชิ้นสำคัญอีกชิ้นของหลวงสรวิชิต (หน) ในสมัยธนบุรี (ช่วงปีแรกของสมัยธนบุรี ยังไม่ได้ย้ายข้างไปอยู่ฝ่ายเจ้าพระยาจักรี) และเป็นผลงานประพันธ์ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ แสดงความชื่นชอบพอพระราชหฤทัยไว้อย่างมากด้วยนั้น

ตัวเอกของเรื่อง “ลิลิตเพชรมงกุฎ” ฉบับหลวงสรวิชิต (หน) เป็นกษัตริย์ โปรดปรานสุนัข เลี้ยงสุนัข มีสุนัขแสนรู้ติดตามพระองค์ไปทุกหนทุกแห่ง

ตัวเอกของ “ลิลิตเพชรมงกุฎ” นี้จะเป็นการนำเอาสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไปไว้ในเรื่องแต่ง หรือเป็นเรื่องแต่งล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ก็ไม่ทราบได้  

แม้ว่าเรื่องใน “ลิลิตเพชรมงกุฎ” เดิมเป็นนิทานเรื่องหนึ่งใน “นิทานเวตาล” แต่การเลือกแต่งเป็นร้อยกรองถวายแด่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ และสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ก็โปรดปรานเรื่องนี้มาก ก็สะท้อนอยู่โดยนัยว่าโปรด “น้องหมา” อาจเป็นเหตุให้ไม่นิยมในการที่ในเขตพระราชฐานของพระองค์จะมีแมวเดินป้วนเปี้ยนไปมา…

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 24 กรกฎาคม 2567