นโยบายแก้ปัญหาปากท้องสมัยกรุงธนบุรี “พระเจ้าตาก” ทรงต้องบริจาคทรัพย์?

"พระเจ้าตากทรงแจกจ่ายข้าวสารแก่ราษฎร" ภาพจิตรกรรมจัดแสดงภายในตำหนักเก๋งคู่ (เก๋งหลังใหญ่) พระราชวังเดิม

เมื่อ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ย้ายราชธานีมายังกรุงธนบุรี ปัญหาประการหนึ่งที่ราชธานีใหม่พบคือเรื่องปัญหาปากท้องของราษฎร พระเจ้าตากฯ มีนโยบายแก้ปัญหาหลายประการ

บันทึกจดหมายเหตุความทรงจำกรมหลวงนรินทรเทวี ที่ทรงบันทึกเล่าเรื่องราวความทุกข์ยากปัญหาของราษฎรปลายกรุงธนบุรี เขียนไว้ว่า

“กรุงธนบุรีเกิดโกลี พันศรีพันลายื่นฟ้องว่าขุนนางแลราษฎรขายข้าวเกลือลงสำเภา โยธาบดีผู้รับฟ้องกราบทูล รับสั่งให้เร่งเงินที่ขุนนางราษฎรขายข้าวเกลือ ให้เฆี่ยนเร่งเงินเข้าท้องพระคลัง ร้อนทุกข์เส้นหญ้า สมณาประชาราษฎร์ไม่มีสุขขุคเข็ญเป็นที่สุดในปลายแผ่นดิน” 

รัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาที่ 4 หรือพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นช่วงระยะเวลาอันสั้นที่สถาปนากรุงธนบรีเป็นราชธานีเพียง 15 ปีเท่านั้นแต่ถือว่าสำคัญเพราะเป็นช่วงรอยต่อระหว่างกรุงศรีอยุธยาที่ยิ่งใหญ่กว่า 417 ปี ก่อนจะล่มสลายยากแก่การกู้คืนกลับให้เป็นดังเดิมได้ สมเด็จพระเจ้าตากทรงต้องย้ายราชธานีมายังกรุงธนบุรี

ปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งของราชธานีใหม่นี้เรื่องหนึ่งในนั้นคือปัญหาปากท้องของราษฎร

“ได้ปืนใหญ่พม่าเอาไปไม่ได้ค้างอยู่ ให้ระเบิดเอาทองลงสำเภา ซื้อข้าวถังละ 6 บาทเลี้ยงคนโซไว้ได้กว่าพัน” เป็นหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาอย่างหนึ่งของพระเจ้าตากตอนบุกตีค่ายโพธิ์สามต้น มาต้นกรุงธนบุรีนอกจากขวัญกำลังใจแล้วปากท้องก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเห็นได้จากการแก้ไขเรื่องข้าวที่อาณาประชาราษฎร์จำนวนมากตกทุกข์ได้ยากจากการเสียกรุงศรีฯ ทอดพระเนตรความทุกข์ยากของราษฎรอดอยากมีรูปร่างดุจหนึ่งหนึ่งเปรตปีศาจพึงเกลียดและทรงเหนื่อยหน่ายในราชสมบัติถึงขนาดจะเสด็จไปประทับเมืองจันทบูร แต่ด้วยความทุกข์ยากที่กรุงธนบุรีเผชิญอยู่และข้าราชการขุนนางทูลวิงวอนให้ทรงประทับยังกรุงธนบุรีเพื่อแก้ปัญหาความอดยากที่เกิดขึ้น ตรงกับจดหมายมองซิเออร์คอร์ ถึงคณะผู้อำนวยการคณะต่างประเทศกล่าวถึงสถานการณ์ความอดอยากช่วงปี พ.ศ. 2313 ไว้ว่า

“ข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวดูในพระราชธานี ได้พบจำนวนเด็กเปนอันมากซึ่งอดอยากอย่างที่สุดในระหว่างที่เข้ายากหมากแพงนั้น”

เรียกได้ว่ายุคต้นกรุงธนบุรีเข้าขั้นทุพภิกขภัยก็ว่าได้ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงแก้ปัญหาด้วยการบริจาคทรัพย์แก่ราษฎรที่มารับพระราชทานมากกว่า 10,000 คน ฝ่ายข้าราชการทหารพลเรือนไทยจีนนั้นรับพระราชทานข้าวสารเสมอคนละถังกินคนละ 20 วัน

ช่วงเวลาดังกล่าวแม้ว่ามีข้าวสารจากสำเภามาขายแต่ราคายังคงสูงอยู่มาก พระเจ้าตากทรงซื้อข้าวสารช่วยเหลือราษฎรของพระองค์และทรงพระกรุณาให้ข้าราชการทั้งชั้นผู้ใหญ่และผู้น้อยร่วมกันทำนาปรังเป็นการแก้ไขปัญหาขาดแคลนข้าวในการบริโภคได้อีกทางหนึ่ง เปรียบกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันการซื้อข้าวสารจากสำเภาเป็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้น แต่การปลูกข้าวนาปรังโดยให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะยาว

บางครั้งการแก้ปัญหาก็มีปัญหาแทรกซ้อนตามมาเช่น ครั้น เดือน 5 หนูคะนองกินข้าวในยุ้งฉางและกัดทรัพย์สิ่งของทั้งปวงเสีย จึงมีรับสั่งให้ข้าทูลละอองฯ และราษฎรดักหนูมาส่งแก่กรมพระนครบาล เป็นต้น

แม้ว่าช่วงปลายกรุงธนบุรีจะเริ่มบริบูรณ์ดีขึ้นแล้ว มิวายมีปัญหาเรื่องราวปากท้องของราษฎรมาเกี่ยวข้องอีก ดังข้อความข้างต้นที่ผู้เขียนนำมาลงไว้ จนปลายแผ่นดินพระเจ้าตากร้อนทุกข์เส้นหญ้า สมณา

ประชาราษฎร์ไม่มีสุขยุคเข็ญเป็นที่สุดในปลายแผ่นดินพระเจ้าตาก มีการรีดเอาเงินจากชาวบ้านด้วยวิธีการเฆี่ยนจนได้เงินตามต้องการเดือดร้อนกันไปทั่วเมือง เช่นกรณีของหลวงประชาชีพที่มีโจทก์ฟ้องเรื่องขายข้าว จนต้องรับโทษถูกประหารชีวิต


อ้างอิง:

พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) จดหมายเหตุรายวัน อภินิหารบรรพบุรุษ และเอกสารอื่น. กรุงเทพฯ : ศรีปัญญา. พิมพ์ครั้งที่ 1. (2551).


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2560