“ภาษีโสเภณี” หลักฐานการมีอยู่ของ “โสเภณี” ถูกกฎหมายในสยาม

บางกอกคณิกา โรงโสเภณี โสเภณี ภาษีโสเภณี ภาษีบำรุงถนน
ละครบางกอกคณิกา (ภาพ : ช่องวัน 31)

โสเภณี เป็นอาชีพเก่าแก่ที่อยู่คู่โลกมาอย่างยาวนาน ในสยามเองก็มีโสเภณี ปรากฏหลักฐานในบันทึกของลาลูแบร์ สมัยกรุงศรีอยุธยา กระทั่งเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์ อาชีพนี้ก็ยังคงอยู่อย่างเหนียวแน่น ทั้งยังมี “ภาษีโสเภณี” หรือชื่อทางการ คือ “ภาษีบำรุงถนน” ยืนยันถึงการมีอยู่อย่างชัดเจน

ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ กล่าวถึงเรื่อง “ภาษีโสเภณี” ไว้ในวิทยานิพนธ์เรื่อง “โสเภณีกับนโยบายของรัฐบาลไทย พ.ศ. 2411-2503” ว่า ภาษีดังกล่าวปรากฏอยู่ในรูปของระบบเจ้าภาษีนายอากร ที่ให้มีการผูกขาด “ภาษีบำรุงถนน” สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

“ระบบเจ้าภาษีนายอากร” คืออะไร?

อธิบายได้พอเห็นภาพคร่าวๆ คือ รัฐบาลยินยอมให้เอกชนประมูลภาษีแข่งกัน ผู้ชนะประมูลต้องส่งเงินให้รัฐบาลในจำนวนและกรอบเวลาที่ตกลงไว้ ผู้ประมูลได้จะทำหน้าที่เป็น “เจ้าภาษีนายอากร” เรียกเก็บภาษีกับราษฎร นั่นย่อมหมายความว่า ผู้ชนะประมูลเปรียบได้กับตัวแทนของรัฐบาลในการเก็บภาษี

ระบบที่ว่า ปรากฏขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 และเด่นชัดในสมัยรัชกาลที่ 3 จากที่พระคลังมีความสำคัญลดลง และเลิกผูกขาดโดยรัฐบาล เมื่อ พ.ศ. 2398 แต่รัฐบาลเพิ่มภาษีอีก 38 ชนิด

สมัยรัชกาลที่ 3 ภาษีที่นำไปสู่การสนับสนุนอบายมุขถูกยกเลิกไป อาทิ ภาษีฝิ่น อากรค่าน้ำ อากรรักษาเกาะ ขณะที่อากรที่ห้ามประมูล คือ อากรพนันวัว ตีไก่ และกัดปลา ส่วนใหญ่แล้วเหตุผลของการห้ามประมูลนั้นมาจากเรื่องทางศาสนา

กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 4 รัฐพยายามเร่งเพิ่มรายได้ มีการเพิ่มประเภทภาษีและปรับปรุงอัตราภาษีต่างๆ อย่าง ภาษีฝิ่น ภาษีสุกร ภาษีปลากัด ภาษีปลาทู ภาษีผ้าไหม ภาษีผัก ภาษีถัง อากรการพนัน อากรมหรสพ อากรค่าน้ำ อากรรักษาเกาะ

ดารารัตน์ ตั้งข้อสังเกตว่า การมีภาษีเกี่ยวกับอบายมุข มีน้ำหนักต่อข้อสันนิษฐานว่า ภาษีโสเภณี น่าจะเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 พอถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ภาษีบำรุงถนนก็ถูกทำให้เป็นระบบมากขึ้น

การศึกษาหลักฐานในสมัยรัชกาลที่ 4 พบว่า มีการจัดเก็บภาษีค่าธรรมเนียมจดทะเบียนหญิงโสเภณีเป็นเงิน 50,000 บาท มากกว่าภาษีอีกหลายชนิด ซึ่งภาษีนี้ย่อมทำเงินให้รัฐบาลได้มากทีเดียว

ทำให้สันนิษฐานได้ว่า นับตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา มีการเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนหญิงโสเภณี เป็นภาษีที่เรียกว่า “ภาษีบำรุงถนน”

เหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดภาษีบำรุงถนน มาจากกรณีหญิงโสเภณีที่เป็นทาส มักกล่าวโทษนายเงินที่ไถ่เอาหญิงมาเป็นทาสว่าฉ้อฉลเงิน และนายเงินบางรายก็โกงเงินภาษีของรัฐ ดังนั้น ภาษีบำรุงถนนจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ มีรายละเอียดสำคัญ คือ

ห้ามไม่ให้นายเงินบังเงินสิบลดหนึ่งของหลวงและสิบลดสามของทาส ถ้าเป็นความจริงตามที่หญิงทาสฟ้องร้อง ต้องลดค่าตัวทาสครึ่งหนึ่ง และซื้อทรายถมถนน 50 เกวียน และห้ามบังคับทาสให้เป็นหญิงโสเภณี โดยที่หญิงนั้นไม่สมัครใจ

ห้ามนายเงินคิดค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าที่นอนจากหญิงทาส ให้คิดได้เฉพาะค่าน้ำมันและค่าน้ำ อัตราเดือนละ 1 หรือ 2 บาท โดยให้เหตุผลว่า น้ำช่วยให้หญิงสวยงาม น้ำมันช่วยให้ห้องสว่างเป็นที่ต้องใจบุรุษ ถือเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย รวมทั้งห้ามนายเงินซื้อของถูกแล้วขายให้หญิงทาสราคาแพง

ถ้าสงสัยว่าหญิงทาสและนายเงินปิดบังเงินหลวงสิบลดหนึ่ง ให้ปรับเจ้าภาษี 1 ชั่ง และให้นายเงินใช้เงินทุนสินบนที่รัฐประกาศให้เป็นรางวัลแก่ผู้แจ้งข่าว 10 ตำลึง นายเงินซื้อทรายถมถนน 50 เกวียน

นายเงินบังคับหญิงทาสให้เป็นโสเภณี โดยนายเงินต้องการหลีกเลี่ยงภาษีบำรุงถนน ถ้าจับได้ นายเงินถูกปรับ 5 ชั่ง โดยเงินนั้นให้หลวง และลดค่าตัวทาสครึ่งหนึ่ง (ถ้าทาสมาฟ้องเอง หญิงทาสนั้นเป็นไท) นายเงินนำทรายมาถมถนน 50 เกวียน

โรงโสเภณีเถื่อนหรือหญิงโสเภณีจรที่ไม่เสียภาษีบำรุงถนนให้รัฐ ผู้ฝ่าฝืนตั้งโรงเลี้ยงโสเภณีในกำแพงพระนคร จับได้มีโทษและปรับเงินเข้าหลวง

รายละเอียดของข้อกฎหมายเหล่านี้ บ่งชี้ถึงการปรากฏของหญิงโสเภณีในสังคมไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์. “โสเภณีกับนโยบายของรัฐบาลไทย พ.ศ. 2411-2503”. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 9 พฤษภาคม 2567