ผู้เขียน | ปดิวลดา บวรศักดิ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
“หญ้าหวาน” เป็นพืชที่ปัจจุบันนำมาใช้เพื่อสกัดเป็นสารทดแทนการให้ความหวานแทนน้ำตาลทราย เนื่องจากไม่ให้พลังงาน แต่ยังคงความหวานที่เราคุ้นเคย ขณะเดียวกันก็มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับสารให้ความหวานนี้ว่า ถ้ากินมากไปไม่ดีจริงหรือ?
เรื่องนี้มีผู้วิเคราะห์ไว้ในมติชนสุดสัปดาห์ บทความ “หญ้าหวาน กินแล้วชีวิตหวานหรือขม?” ซึ่งนำมาสรุปให้อ่านดังนี้…

“หญ้าหวาน” หรือชื่อวิทยาศาสตร์คือ Stevia rebaudiana (Bertoni) Bertoni เป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นแข็ง มีอายุอยู่ได้หลายปี มีใบหยักคล้ายฟันเลื่อย มีช่อดอกสีขาว ถิ่นกำเนิดอยู่ที่บราซิล ปารากวัย และอเมริกากลาง
เชื่อว่าคนที่ค้นพบและนำมาใช้ครั้งแรกคือชนพื้นเมืองแถบอเมริกาใต้
พวกเขาจะสกัดเอาสารที่มีรสหวาน เรียกว่า “สตีวิโอไซด์” (Stevioside) ซึ่งให้ความหวานได้คล้ายกับน้ำตาลทราย แต่มีความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายประมาณ 200-300 เท่า (ส่วนใบหญ้าหวานให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 10-15 เท่า)
ทว่าท่ามกลางความหวานที่พุ่งกระฉูด มันไม่ก่อพลังงาน คนที่ต้องการลดปริมาณแคลลอรี ต้องลดน้ำหนัก ผู้ป่วยโรคอ้วน หัวใจ เบาหวาน มะเร็ง จึงใช้หญ้าหวานมาบริโภค

หญ้าหวานสู่เอเชีย
หลังจากเริ่มใช้ในฝั่งอเมริกา เจ้าหญ้าที่ให้รสหวานนี้ก็เข้ามาในเอเชียที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นอันดับแรก พวกเขาใช้มันในการการปรุงอาหารและเป็นส่วนประกอบในเครื่องดื่ม ก่อนจะเข้ามาไทย โดยชาวญี่ปุ่นชื่อ นายเตอิชิ ยากิ ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทแห่งหนึ่ง
เขาทดลองปลูกที่ อ. หาดใหญ่ จ. สงขลา ก่อนจะไปปลูกที่นิคมสร้างตนเองเทพา จ. สงขลา ซึ่งพื้นที่หลังถือว่าปลูกหญ้าหวานได้ประสบความสำเร็จมาก เพราะแม้ต่อมาจะมีการปลูกแถวภาคเหนือหรือกระจายหญ้าหวานไปที่มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไต้หวัน และเกาหลี แต่หญ้าให้รสหวานที่นิคมสร้างตนเองเทพาก็ได้ผลดีกว่า
ยากิจึงนำหญ้าหวานพันธุ์นี้ไปปลูกที่มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
หญ้าหวาน พืชให้ความหวานกับความอันตรายในการใช้
เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงมานาน โดยเฉพาะเมื่อองค์การอนามัยโลก (World Health Organization) หรือ WHO ออกประกาศว่า…
“การบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ไม่ได้ช่วยการควบคุมน้ำหนักในระยะยาว เราต้องพิจารณาหาวิธีการอื่นๆ ที่จะลดปริมาณน้ำตาลที่ร่างกายได้รับ เช่น บริโภคอาหารที่มีน้ำตาลตามธรรมชาติ อย่างเช่น ผลไม้ หรือบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่เติมความหวาน สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ไม่ได้เป็นปัจจัยทางอาหารที่จำเป็นและไม่ได้มีคุณค่าทางโภชนาการ เราควรลดความหวานของอาหารโดยรวม ซึ่งควรเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อให้สุขภาพดีขึ้น”

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้หลายคนกังวลว่า หรือแท้จริงแล้วหญ้าหวานจะเป็นสารอันตราย แต่ในงานหญ้าหวาน กินแล้วชีวิตหวานหรือขม? ก็อธิบายไว้ว่า
“ที่จริงหญ้าหวานยังปลอดภัยเพราะข้อมูลงานวิจัยจากญี่ปุ่นที่ทำการศึกษาความเป็นพิษเรื้อรัง (Chronic toxicity) ของหญ้าหวานพบว่า ระดับความปลอดภัย คือ ไม่เกิน 550 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่สรุปว่า สารสกัดจากหญ้าหวานมีความปลอดภัยในทุกๆ กรณี
โดยค่าสูงสุดที่กินได้อย่างปลอดภัยคือ 7,938 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งสูงมากถ้าเทียบกับการผสมในเครื่องดื่มหรือกาแฟจะต้องกินมากถึงประมาณ 73 ถ้วยต่อวัน ซึ่งคงไม่มีใครดื่มเครื่องดื่มหรือกาแฟมากขนาดนั้นต่อวัน เพราะคนส่วนใหญ่ดื่มกันประมาณ 2-3 ถ้วยต่อวันก็ถือว่ามากแล้ว หากจะใช้หญ้าหวานอย่างปลอดภัย ควรอยู่ในประมาณ 1-2 ใบต่อเครื่องดื่ม 1 ถ้วย ถือว่าเป็นปริมาณที่เหมาะสมและไม่หวานมากจนเกินไป”
เหตุที่ WHO ต้องออกมาประกาศเช่นนี้ ก็เพราะต้องการให้คนมุ่งเน้นไปที่การมองระยะยาว เพราะน้ำตาลเทียมเหล่านี้ถ้าบริโภคเป็นระยะเวลานานก็ไม่ได้ช่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนัก ควรจะลดหรือควบคุมความหวานให้ได้มากกว่า และหันมาออกกำลังกายมากขึ้น เพื่อสุขภาพของตนเอง
อ่านเพิ่มเติม :
- “ส้มป่อย” พืชศักดิ์สิทธิ์แห่งล้านนา ปัดเป่าความชั่วร้าย รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่วันสงกรานต์
- “ปาล์มน้ำมัน” อีกหนึ่งพืชเศรษฐกิจที่ตระกูล “ณ ระนอง” นำเข้ามาจากต่างแดน
- “มะละกอ” พืชต่างถิ่นเข้าสู่ไทยเมื่อใด? ทำไมคนอีสานเรียกว่า “บักหุ่ง”
- การเดินทางของ “ข้าวโพด” จากพืชป่าในอเมริกา สู่อาหารของคนและ(ปศุ)สัตว์ทั่วโลก
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
https://www.matichonweekly.com/column/article_754998
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 23 เมษายน 2568