ผู้เขียน | กมลวรรณ ยุทธศิลป์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ขนมปังขิง (Gingerbread) คุกกี้สุดแสนอร่อย ที่หอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นเครื่องเทศ แล้วทุกคนสงสัยไหมว่าทำไมขนมปังขิงถึงเป็นของคู่กันกับเทศกาลคริสต์มาส ?
ทุกคนคงมีภาพจำว่าเทศกาลคริสต์มาสต้องมีซานตาคลอส กวางเรนเดียร์ ต้นสน ไวน์ร้อน กลิ่นอบเชยอันแสนหอมหวาน และอีกหนึ่งสิ่งที่ทุกคนต้องนึกถึง นั่นคือ ขนมปังขิง
ขนมปังขิง (Gingerbread) เป็นขนมที่ได้รับความนิยมในอเมริกาเหนือและยุโรป โดยเฉพาะช่วงเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งในหลาย ๆ ประเทศ ก็มีขนมปังขิงในชื่ออื่นอีกด้วย เช่น ขนมเล็บคูเคนของเยอรมัน (Lebkuchen) มารานิโตสของเม็กซิโก (Marranitos) พรียานิกิของรัสเซีย (Pryaniki) และ เปปปาร์คาโกร์ของสวีเดน (Pepparkakor)
สูตรขนมปังขิงแบบดั้งเดิมประกอบด้วยแป้ง เนย ไข่ น้ำเชื่อม (บางที่ใช้น้ำผึ้ง) และขิง รวมทั้งเครื่องเทศที่ให้ความร้อนอื่น ๆ เช่น กานพลู ซินนามอน ลูกจันทน์เทศ บางครั้งอาจมีการเติมผลไม้ตระกูลส้ม วานิลลา ส่วนขิงอาจใช้ในรูปแบบสด ผง หรือเชื่อม โดยบางสูตรอาจใช้การผสมผสานของขิงหลายรูปแบบ
สมัยอียิปต์และกรีกโบราณ มักใช้ขนมปังขิงในพิธีกรรมทางศาสนาเป็นหลัก แต่ประเทศสวีเดนมักใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง เพราะขิงเป็นพืชที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค
แต่ในปัจจุบัน บริบทของขนมปังขิงเปลี่ยนไป เดิมใช้เพื่อพิธีกรรมทางศาสนาและการรักษาทางการแพทย์ กลายเป็นขนมที่ใช้เฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสในการกลับมาของครอบครัว ที่ทำงานมาตลอดทั้งปี โดยที่ทุกคนในบ้านจะมาช่วยกันทำขนมปังขิงและอาหารอื่น ๆ เพื่อเป็นการใช้เวลาร่วมกัน
เมืองหลวงขนมปังขิง ณ เยอรมนี

เมืองนูเรมเบิร์ก (Nürnberg) ประเทศเยอรมนี กลายเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองหลวงของขนมปังขิง โดยขนมปังขิงในนูเรมเบิร์กมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 มีการพัฒนาสูตรและเทคนิคการทำอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยรสชาติที่เข้มข้น หอมเครื่องเทศ มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มละลายในปาก จากต่างที่อื่น ๆ
ที่นี่ยังมีตลาดคริสต์มาส (Christkindlesmarkt) อันเลื่องชื่อ และมีพิพิธภัณฑ์ขนมปังขิงที่จัดแสดงประวัติศาสตร์และกระบวนการผลิตขนมปังขิง รวมถึงมีการสาธิตการทำขนมปังขิงให้ผู้ชมได้ชมกันสด ๆ อีกด้วย
ขนมปังขิงกับประเทศอังกฤษ

ในยุคของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ (Queen Elizabeth I) ช่วงปี 1558–1603 ผู้คนมักจะกินขนมปังขิงเป็นของหวานหลังมื้ออาหาร เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร อีกทั้งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ประดิษฐ์มนุษย์ขนมปังขิง เนื่องจากพระนางสั่งให้คนทำขนมทำคุกกี้ให้มีรูปร่างเหมือนกับขุนนางที่มาเข้าเฝ้า ณ พระราชสำนัก และจะมอบเป็นของที่ระลึกแก่ผู้มาเยี่ยมชม
ภายหลังพระนางวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (Queen Victoria) ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งเยอรมนี (Prince Albert of Saxe-Altenburg) ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เจ้าชายอัลเบิร์ตได้นำวัฒนธรรมการกินขนมขิงเล็บคูเคนไปเผยแพร่ที่อังกฤษ ทำให้ผู้คนนิยมกินขนมปังขิงมากขึ้น
ช่วงปี 1800 ผู้อพยพจากยุโรปนำสูตรขนมปังขิงและประเพณีเข้ามาในสหรัฐอเมริกาด้วย ทำให้ขนมปังขิงกลายเป็นสิ่งสำคัญในช่วงเทศกาลคริสต์มาสในสหรัฐอเมริกา
สุดท้ายแล้วในศตวรรษที่ 21 ศิลปะการทำขนมปังขิงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก สามารถเห็นได้จากรายการโทรทัศน์อย่าง Holiday Baking Championship และ Holiday Gingerbread Showdown อีกทั้ง ทุก ๆ วันเสาร์ที่สองของเดือนธันวาคมได้รับการขนานนามว่าเป็น “วันตกแต่งบ้านขนมขิง” (Gingerbread Decorating Day)
อ่านเพิ่มเติม :
- “ไวน์ร้อน” เครื่องดื่มคลายหนาวยอดนิยมช่วงการฉลองเทศกาลวันคริสต์มาสของชาวยุโรป
- ทำไม “ซานตา คลอส” แห่งวันคริสต์มาส ต้องใส่ชุดสีแดง แล้วก่อนหน้าใส่ชุดสีอะไร?
- “แห่ดาวคริสต์มาส” ประเพณี “ชาวคริสต์ท่าแร่” แห่งสกลนคร สะท้อนอัตลักษณ์ชาวเวียดนามอพยพ
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
https://www.britannica.com/topic/gingerbread-cake
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 24 ธันวาคม 2567