
ผู้เขียน | XIX มกรา |
---|---|
เผยแพร่ |
เมื่อปี 1970 ที่ประเทศญี่ปุ่น เคยมีความพยายามในการก่อ “รัฐประหาร” โดยกวีและนักเขียนชื่อดังท่านหนึ่งชื่อ ยูกิโอะ มิชิมะ (Yukio Mishima) เหตุการณ์ครั้งนั้นถือเป็นเรื่องราวสุดระทึกที่ชาวญี่ปุ่นติดตามและให้ความสนใจอย่างมาก เพราะมีการรายงานข่าวจากสื่อสำนักต่าง ๆ ภายในประเทศเป็นระยะตั้งแต่เขาเริ่มก่อการ ไปจนถึงตอนเจ้าหน้าที่เข้าคลี่คลายสถานการณ์ได้สำเร็จ ซึ่งมีฉากจบที่สร้างความตื่นตะลึงต่อทั้งชาวญี่ปุ่นและผู้คนทั่วโลกเลยทีเดียว
เส้นทางกวีและวิถีบูชิโด ของ ยูกิโอะ มิชิมะ
ก่อนเหตุการณ์ความพยายามก่อรัฐประหาร ยูกิโอะ มิชิมะ เป็นคนดังที่ชาวญี่ปุ่นรู้จักและให้การยอมรับอย่างสูงในฐานะนักเขียนมากความสามารถและอนาคตไกล เขาเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมถึง 3 ครั้ง และเข้าใกล้ความสำเร็จรายการนี้มาก ๆ ในปี 1968
อันที่จริง “ยูกิโอะ มิชิมะ” เป็นเพียงนามปากกาเท่านั้น แต่เป็นชื่อติดหูที่ผู้คนรู้จัก โดยชื่อจริงซึ่งเป็นชื่อแรกเกิดคือ “ฮิราโอกะ คิมิตาเกะ” เขาเกิดที่เขตชินจูกิ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น วันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1925 ด้วยพื้นเพจากครอบครัวข้าราชการที่มีบรรพบุรุษเป็นซามูไร เขาจึงเป็นเด็กเรียนเก่งและสนใจงานวรรณกรรม โดยเฉพาะหนังสือวรรณกรรมตะวันตกและวรรณกรรมคลาสสิกของญี่ปุ่น
แววอัจฉริยะด้านวรรณกรรมของฮิราโอกะ คิมิตาเกะ ปรากฏชัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่องานเขียนของเขาได้รับการตีพิมพ์ตั้งแต่ยังเรียนมัธยมฯ และได้เป็นกองบรรณาธิการอายุน้อยที่สุดของชมรมวรรณกรรมของโรงเรียน
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ปะทุขึ้นในทศวรรษ 1940 ฮิราโอกะ คิมิตาเกะ ไปคัดเลือกเป็นทหารตามหมายเรียกของทางการ แต่ได้รับการวินิจฉัยว่าไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้ เพราะมีความเสี่ยงเรื่องวัณโรค เขาจึงกลับมาเรียนปริญญาตรีด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยโตเกียว ระหว่างนั้นก็เขียนหนังสือเรื่อย ๆ แต่เนื่องจากถูกพ่อสั่งห้ามทำงานอดิเรกดังกล่าว เขาจึงใช้นามปากกา “ยูกิโอะ มิชิมะ” เรื่อยมาตั้งแต่นั้น เพื่อปิดการรับรู้จากผู้เป็นพ่อ
หลังเรียนจบ มิชิมะเริ่มชีวิตการทำงานในกระทรวงการคลัง ด้วยงานเขียนมากมายจากความสามารถด้านการประพันธ์อันฉกาจฉกรรจ์ตั้งแต่สมัยเรียน ทำให้เขากลายเป็นนักเขียนชื่อดัง ด้วยวัย 24 ปี มิชิมะ ตัดสินใจลาออกจากงานกระทรวงมาเขียนหนังสืออย่างจริงจัง ด้วยความโด่งดังและความตั้งใจอันแน่วแน่เป็นเหตุให้พ่อไม่สามารถขัดขวางเลูกชายกับอาชีพสายวรรณกรรมได้อีกต่อไป

งานของมิชิมะมักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต ความตาย ความรุนแรงและการสูญเสีย ช่วงที่เขาประสบความสำเร็จสูงสุดคือทศวรรษ 1960 และชื่อ (นามปากกา) ของเขา แทบไม่ต่างจากซูเปอร์สตาร์คนหนึ่งของญี่ปุ่นเลย ทั้งยังมีประวัติชีวิตคู่ที่น่าสนใจด้วย แม้จะสมรสกับซูงิยามะ โยโกะ เมื่อปี 1958 และมีลูกด้วยกัน 2 คน แต่ก่อนหน้านั้นเขาเคยคบหากับโชดะ มิจิโกะ ก่อนจะเลิกรากันไป และต่อมาหญิงสาวผู้นี้มีคู่สมรสคือสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ เธอคือ “สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ” นั่นเอง
เส้นทางชีวิตของมิชิมะแม้ดูผิวเผินไม่น่ากลายเป็นนักชาตินิยมสุดโต่งผู้นำการก่อรัฐประหารได้ แต่ค่านิยมและแนวคิดแบบอนุรักษนิยมของเขาถูกปลูกฝังมาตั้งแต่วัยเด็กแล้ว จากสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะครอบครัว เมื่อเป็นทายาทของตระกูลซามูไร มิชิมะ ก็ค่อย ๆ ซึมซับและสะสมความปรารถนาที่จะฟื้นฟู “วิถีบูชิโด” (Bushido) หรือจารีตของเหล่าซามูไร เห็นได้จากความคลั่งไคล้วรรณกรรมคลาสสิกญี่ปุ่นตั้งแต่วัยเยาว์
ในช่วงชีวิตที่ประสบความสำเร็จในฐานะกวีคนดัง มิชิมะมีงานอดิเรกคือเพาะกายและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ โดยเฉพาะการฟันดาบตามวิถีบูชิโด ถึงแม้หลักจารีตดังกล่าวจะคล้ายคลึงกับหลักวีรคติ (Romance) หรือวิถีอัศวินของยุโรปอย่างมาก แต่นักชาตินิยมอย่างมิชิมะหนักแน่นในการต่อต้านเรื่องความฝักใฝ่หรือการพัฒนาประเทศตามแบบตะวันตกอย่างยิ่ง ถึงขนาดริเริ่มคิดถึงการฟื้นฟูระบอบจักรพรรดิ คืออัญเชิญองค์จักรพรรดิโชวะหรือจักรพรรดิฮิโรฮิโตะกลับมาครองอำนาจสูงสุดในญี่ปุ่นอย่างแท้จริงอีกครั้ง หลังถูกลดบทบาทเพื่อเปิดทางให้อิทธิพลตะวันตกหรือสหรัฐอเมริกาเข้ามาควบคุมประเทศที่แพ้สงคราม
แนวคิดอนุรักษนิยมและความชาตินิยมขวาจัดของมิชิมะจึงชัดเจนและเปิดเผยขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งขัดกับภาพที่ผู้ติดตามผลงานของเขาวาดไว้พอสมควรว่าเขาคือนักเขียนหัวก้าวหน้าคนหนึ่งที่กล้าทำอะไรใหม่ ๆ
กระทั่ง ค.ศ. 1967 มิชิมะสมัครเป็นทหารใน กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น (JSDF) เพื่อฝึกฝนตนเอง เขาใช้เวลาหนึ่งปีเรียนรู้ศาสตร์ของกองทัพก่อนออกมาตั้งกองกำลังเอกชนในชื่อ Tetenokai อุดมการณ์ของกองกำลังนี้คือการยึดหลักบูชิโด วิถีแห่งซามูไรญี่ปุ่น และเทิดทูนองค์พระจักรพรรดิ อาจดูเหมือนไม่มีพิษสงอะไร แต่ครั้งหนึ่งกองกำลังนี้มีคนหนุ่มเป็นสมาชิกอยู่เกือบ 100 ชีวิตเลยทีเดียว
กระทั่งวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1970 มิชิมะพร้อมผู้ติดตามจำนวน 4 คน ได้แก่ มาซะคัตสึ โมริตะ, มาซาฮิโระ โอกาวะ, มาซะโยชิ โคงะ และฮิโรยะสึ โคงะ ได้บุกเข้าไปยึดศูนย์บัญชาการกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น ณ กรุงโตเกียว พวกเขาจับผู้บัญชาการศูนย์ มาชิตะ คาเนโตชิ (Mashita Kanetoshi) เป็นตัวประกัน เหตุการณ์นั้นทำให้กองทัพหรือกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทันที มิชิมะ ออกมายืนกล่าวสุนทรพจน์กับทหารที่รวมตัวกันหลังสัญญาณฉุกเฉินถูกแจ้งออกไป เขาเริ่มปลุกระดมให้กองทัพก่อการรัฐประหารรัฐบาลประชาธิปไตยชุดปัจจุบัน เพื่อเชิญองค์พระจักรพรรดิขึ้นมาปกครองญี่ปุ่นอีกครั้ง
คำปราศรัยของเขายังรวมถึงการฉีกรัฐธรรมนูญของประเทศซึ่งถูกตราขึ้นโดยสหรัฐอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย อย่างไรก็ตาม การปลุกระดมดังกล่าวไม่เป็นผล ทหารที่ฟังเขาปราศรัยไม่เอาด้วยกับการก่อการดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้น แม้เหล่าทหารจะนิ่งเงียบฟังถ้อยแถลงอันดุดันและร้อนแรงของมิชิมะ แต่สุดท้ายพวกเขาต่างโห่ร้องและหัวเราะเย้ยหยันสิ่งที่เขาพูด จนเขาไม่รู้จะไปต่ออย่างไรดี
สูญสิ้นและแตกสลาย
จะด้วยความอับอาย ผิดหวัง กลัวความผิด หรือความซื่อสัตย์ต่ออุดมการณ์และวิถีแห่งบูชิโดก็ตาม มิชิมะ ตัดสินใจผละหนีจากลานปราศรัยเพื่อมากระทำ เซ็ปปุกุ (Seppuku) หรือ ฮาราคีริ (Hara-Kiri) ซึ่งเป็นการฆ่าตัวตายอย่างมีเกียรติตามวิถีซามูไร ด้วยการใช้มีดคว้านท้องตนเอง โดยพิธีนี้จะมีผู้ช่วยอีกคนทำหน้าที่บั่นศีรษะเพื่อไม่ให้ผู้กระทำเซ็ปปุกุเจ็บปวดทรมานเกินไป เรียกว่า ไคชาคุนิน (kaishakunin)
ปรากฏว่าหลังเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์และคลี่คลายจุดเกิดเหตุ พวกเขาพบว่ามีผู้เสียชีวิต 2 คน ได้แก่ ยูกิโอะ มิชิมะ ในวัย 45 ปี และมาซะคัตสึ โมริตะ เด็กหนุ่มผู้ติดตามในวัย 25 ปี ส่วนอีก 3 คนที่เหลือถูกจับกุมตัวไว้ เรื่องราวนี้ถูกสื่อมวลชนญี่ปุ่นเกาะติดรายงานอย่างใกล้ชิดและสร้างความตื่นตะลึงต่อผู้คนทั่วประเทศ
เล่ากันว่า หลังจากมิชิมะจัดการคว้านท้องตนเอง ซะคัตสึ โมริตะ ผู้ทำหน้าที่บั่นศีรษะของเขากลับล้มเหลวในการฟันให้จบในดาบเดียว แถมฟันซ้ำอีกถึง 2 ครั้ง แต่ศีรษะของเขาก็ยังไม่หลุดออกจากบ่า ฮิโรยะสึ โคงะ ผู้ติดตามอีกคนจึงรับหน้าที่ต่อ ศีรษะมิชิมะจึงลงไปอยู่กับพื้นด้วยดาบของฮิโรยะสึ โคงะ จากความละอายที่ทำภารกิจล้มเหลว มาซะคัตสึ โมริตะ ลงมือคว้านท้องตนเองต่อทันที ฮิโรยะสึ โคงะ จึงต้องบั่นคอเขาตามไปด้วย เหตุการณ์นี้จึงเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปีที่มีผู้เสียชีวิตด้วยการทำเซ็ปปุกุนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
ยูกิโอะ มิชิมะ กลายเป็นความทรงจำสุดโลดโผดของชาวญี่ปุ่นทั้งในฐานะนักชาตินิยมสุดโต่งผู้พยายามก่อรัฐประหาร “ครั้งสุดท้าย” ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เป็นกวีและนักเขียนหัวก้าวหน้าสุดโด่งดังที่ฝากผลงานเป็นหนังสือนวนิยาย บทละคร และเรื่องสั้นอีกจำนวนมาก เขายังเคยแสดงภาพยนตร์และละครเวทีด้วย ถือว่ามีคุณูปการต่อวงการวรรณกรรมและการละครสูงมาก
แม้แต่เรื่องราว (ความพยายาม) ในการ รัฐประหาร ของเขายังกลายเป็นภาพยนตร์ในอีก 15 ปีต่อมาในชื่อ “Mishima: A Life in Four Chapters” ซึ่งค่อนข้างตลกร้ายทีเดียวที่หนังเรื่องนี้ถูกสร้างโดยค่าย Warner Bros. บริษัทภาพยนตร์จากฝั่งสหรัฐอเมริกา ประเทศที่มิชิมะต่อต้านและปรารถนาจะปลดปล่อยแผ่นดินเกิดของตนจากอิทธิพลของพวกเขาจนตัวตาย…
อ่านเพิ่มเติม :
- 2 กันยายน 1945 สิ้นสุด “สงครามโลกครั้งที่ 2” อย่างเป็นทางการหลังญี่ปุ่นลงนามยอมจำนน
- “Godzilla” ภาพสะท้อน “นิวเคลียร์” กับความขื่นขมของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
- ฮิโระ โอโนดะ ทหารญี่ปุ่นซ่อนในป่าร่วม 30 ปี เพราะไม่เชื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบแล้ว
อ้างอิง :
Thomas Graham, (25th November 2020). BBC Culture : Yukio Mishima: The strange tale of Japan’s infamous novelist. (Online)
Encyclopaedia Britannica, (21th November 2022) : Mishima Yukio, Japanese author. (Online)
Kirsten Cather, (11th January 2021). The Conversation : Japan’s most famous writer committed suicide after a failed coup attempt – now, new photos add more layers to the haunting act. (Online)
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 13 ธันวาคม 2565