ผู้เขียน | อัศวัตถามา |
---|---|
เผยแพร่ |
หลังการล่มสลายของ จักรวรรดิโรมันตะวันตก (Western Roman Empire) จากการรุกรานของ กลุ่มชนเยอรมัน (Germanic peoples) ดินแดนยุโรปค่อย ๆ หล่อหลอมวัฒนธรรมจากกลุ่มอารยธรรมกรีก-โรมัน ผสานกับวัฒนธรรมของอนารยชน นักประวัติศาสตร์เรียกสมัยนี้ว่า ยุคกลาง (Middle Ages) และนิยามว่าเป็น ยุคมืด (Dark Ages) เพราะการสิ้นสุดของอารยธรรมกรีก-โรมัน และการครอบงำของอิทธิพลความเชื่อทาง ศาสนาคริสต์ (Christianity) จาก คริสตจักร ที่กรุงโรม
ยุคกลางตอนต้น จึงเป็นระยะที่สังคมยุโรปเกิดความชะงักงันทางภูมิปัญญา การเมืองการปกครองเป็นไปอย่างไม่มีทิศทาง ก่อนอนารยชนจะหลอมรวมวัฒนธรรมของตนเข้ากับศาสนาคริสต์ กระทั่งอารยธรรมเก่ากลายเป็นอารยธรรมใหม่ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อยุโรปในเวลาต่อมา
ชนเผ่าเยอรมัน
กลุ่มชนเยอรมันหลากหลายเผ่าซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้จักรวรรดิโรมันตะวันตกสูญสิ้นอำนาจไปจากบริเวณยุโรปตะวันตก ก่อนที่ดินแดนแถบนี้จะกลายเป็นบริเวณที่กลุ่มชนเยอรมันทั้งหลายเข้ามาตั้งถิ่นฐาน สร้างรัฐและกลุ่มอาณาจักรขนาดเล็กขึ้นมาแทนที่
กลุ่มชนเยอรมันมีถิ่นกำเนิดแถบสแกนดิเนเวีย พวกเขาต้องเผชิญกับภาวะอากาศหนาวและการขาดแคลนอาหาร จึงอพยพมาตั้งถิ่นฐานใหม่ทางตอนใต้ของยุโรป วิถีของชาวเยอรมันเป็นแบบกึ่งพเนจร มีอาชีพล่าสัตว์ ทำประมง เลี้ยงสัตว์ตามทุ่ง รวมถึงเกษตรกรรม ก่อนการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก กลุ่มชนเยอรมันเข้ามาในจักรวรรดิโรมันเพราะต้องการความอุดมสมบูรณ์ จึงตั้งถิ่นฐานและปล้นสะดมชุมชนดั้งเดิมในอาณาเขตของจักรวรรดิโรมัน กลุ่มชนเยอรมันเหล่านี้แบ่งเป็นหลายเผ่า ดังนี้
1. อนารยชนที่ตั้งถิ่นฐานระหว่างลุ่มแม่น้ำไรน์กับแม่น้ำเอลเบอ และระหว่างทะเลบอลติกกับลุ่มแม่น้ำดานูบตอนบน ได้แก่ แฟรงก์ (Franks), อาเลมันนี (Alemanni), แองเกิล (Angles), แซกซอน (Saxons) และจูต (Jutes)
2. อนารยชนซึ่งตั้งถิ่นฐานตามฝั่งแม่น้ำดานูบตอนล่างและแถบทะเลดำ ได้แก่ วิสิกอธ (Visigoths) หรือกอธตะวันตก, ออสโตรกอธ (Ostrogoths) หรือกอธตะวันออก และแวนดัล (Vandals)
อิทธิพลศาสนาคริสต์
หลังการล่มสลายของอาณาจักรโรมันตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ทำให้ศาสนาคริสต์ที่ได้รับการสนับสนุนจาก จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช (Constantine the Great) เมื่อคริสต์ศตวรรษก่อนกลายเป็นสถาบันเดียวที่รักษาสถานภาพของตนได้ พระสันตะปาปาทรงเป็นประมุขของคริสจักรที่กรุงโรมและสามารถรักษาเอกภาพของชาวโรมันเอาไว้ได้ในพื้นที่รอบกรุงโรมหรือตอนกลางของคาบสมุทรอิตาลี ทั้งมีบทบาทในการสืบทอดอารยธรรมโรมันให้ดำรงอยู่ แม้อารยธรรมโรมันจะค่อย ๆ เสื่อมสลายไปในดินแดนอื่นที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน
เมื่อศาสนาคริสต์ถูกยอมรับโดยกลุ่มชนเยอรมัน ทำให้ให้เกิดการแผ่ขยายทางศาสนาอย่างกว้างขวางไปทั่วยุโรป อิทธิพลของศาสนจักรเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากจนมีบทบาทต่อวิถีการดำรงชีวิต การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของยุโรปตลอด ยุคกลาง ซึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้คริสจักรมีอิทธิพลทางโลกไม่ด้อยไปกว่าทางธรรมนั้นเกิดจากความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่าง คริสตจักร ที่กรุงโรมกับกษัตริย์ชาวแฟรงก์ ผู้นำกลุ่มชนเยอรมันอีกเผ่าที่มีบทบาทอย่างมากในยุคกลางตอนต้น
การสถาปนาอาณาจักรของชาวแฟรงก์
เผ่าแฟรงก์เคยตั้งถิ่นฐานอยู่ที่แม่น้ำไรน์ บริเวณเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน ต่อมาพวกเขาเคลื่อนย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่แคว้นกอล (Gaul) ตอนกลางของฝรั่งเศสในปัจจุบัน เผ่าแฟรงก์ภายใต้การนำของ กษัตริย์โคลวิส ที่ 1 (Clovis I) แข็งแกร่งจนสามารถตั้งอาณาจักรและสถาปนา ราชวงศ์เมโรแวงเจียน (Merovingian dynasty) ขึ้นใน ค.ศ. 481 อาณาจักรแฟรงก์กลายเป็นกำลังสำคัญในการปราบอนารยชนกลุ่มอื่น ๆ จวบจนถึงศตวรรษที่ 8
ช่วงแรกเริ่มสถาปนาอาณาจักรแฟรงก์เมโรแวงเจียน พวกเขาขยายอาณาเขตจรดลุ่มแม่น้ำลัวร์ รวบอำนาจผู้นำชาวแฟรงก์กลุ่มอื่น ๆ กษัตริย์โคลวิส ที่ 1 ทรงชักนำชาวแฟรงก์ให้หันมานับถือศาสนาคริสต์ ก่อนสถาปนาปารีสเป็นเมืองหลวงและขยายอาณาเขตของอาณาจักรอย่างกว้างขวาง ครอบครองดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศฝรั่งเศส เบลเยียม เนเธอแลนด์ และบางส่วนของเยอรมนี
ก่อนการสวรรคตของกษัตริย์โคลวิส ที่ 1 พระองค์ทรงแบ่งดินแดนแก่พระโอรสตามประเพณีโบราณ นำมาซึ่งการแตกแยกภายในอาณาจักรเมื่อ ค.ศ. 511 อาณาจักรตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอ มีการแย่งชิงอำนาจของเหล่าพระราชวงศ์ ในที่สุดอำนาจการปกครองอาณาจักรก็กลายเป็นของอัครเสนาบดี กษัตริย์ไม่มีพระราชอำนาจในการปกครองอย่างแท้จริงอีกต่อไป
ต้นศตวรรษที่ 8 ชาร์ล มาเทล (Charles Martel) แห่ง ตระกูลคาโรแลงเจียน (Carolingian House) ผู้เป็นอัครเสนาบดีแห่งอาณาจักรแฟรงก์สามารถรวมอาณาจักรที่แตกแยกให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้งเพื่อต่อต้านการรุกรานของนักรบมุสลิมจากคาบสมุทรไอบีเรีย (บริเวณสเปน-โปรตุเกส) ที่พยายามรุกรานเข้ามาในยุโรปตอนใน ความสำเร็จของเขาสร้างบารมีและความนิยมแก่ตระกูลเป็นอย่างสูง
ค.ศ. 751 เซลเดอริกที่ 3 (Childeric III) กษัตริย์แห่งราชวงศ์เมโรแวงเจียน ถูกปลดโดย เปแปงร่างเตี้ย (Papin the short) อัครเสนาบดีแห่งตระกูลคาโรแลงเจียน และผู้สืบทอดตำแหน่งจากชาร์ล มาเทล ผู้เป็นบิดา เขาตั้งตนเป็นกษัตริย์และสถาปนาให้ตระกูลของเขาเป็นราชวงศ์ใหม่แทนที่ราชวงศ์เดิม การยึดอำนาจครั้งนี้มีพระสันตะปาปาให้การสนับสนุน ด้วยเงื่อนไขว่า อาณาจักรแฟรงก์คาโรแลงเจียนจะคุ้มครองกรุงโรมจากการรุกรานของอนารยชนในคาบสมุทรอิตาลี ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างพระสันตะปาปากับกษัตริย์แห่งแฟรงก์จึงเกิดขึ้น
พระเจ้าเปแปงทรงส่งกองทัพเข้าไปปราบพวก ลอมบาร์ด (Lombards) ชนเผ่าเยอรมันกลุ่มที่กำลังคุกคามกรุงโรมอยู่ จากนั้นทรงยกดินแดนที่พวกลอมบาร์ดเคยยึดครองมาถวายคืนแด่พระสันตะปาปา ทำให้พระสันตะปาปาทรงมีอำนาจในการปกครองอิตาลีในฐานะเจ้านคร และก่อให้เกิดการถวายที่ดินให้แก่ศาสนจักรเป็นโบราณราชประเพณีนับแต่นั้น
ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์แฟรงก์กับ คริสตจักร แห่งกรุงโรมเป็นผลให้ พระสันตะปาปาลีโอที่ 3 (Pope Leo III) ทรงตอบแทนราชวงศ์คาโรแลงเจียนที่ร่วมพิทักษ์พระศาสนา โดยให้การรับรองอาณาจักรของชาวแฟรงก์ นำไปสู่การทำพิธีสถาปนา พระเจ้าชาร์เลอมาญมหาราช (Charlemagne the Great) พระราชโอรสของพระเจ้าเปแปงขึ้นเป็น จักรพรรดิแห่งโรมัน (Roman Emperor) ใน ค.ศ. 768 เป็นที่มาของ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) ที่นำโดยเผ่าแฟรงก์นั่นเอง
ความแน่นแฟ้นระหว่าง จักรวรรดิคาโรแลงเจียน กับ คริสตจักรแห่งกรุงโรม ยิ่งตอกย้ำอิทธิพลอันมั่นคงของศาสนาคริสต์ที่มีบทบาทชี้นำผู้คนตลอด “ยุคกลาง” และกษัตริย์ในยุโรปต่างยึดเอาการรับรองจากพระสันตะปาปาเป็นต้นแบบ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครอง และการยอมรับจากคริสตชนในอาณาจักรของตน
อ่านเพิ่มเติม :
- ชะตากรรม ผู้หญิงยามสงคราม แม่ชียุคกลาง เฉือนอวัยวะตัวเอง เลี่ยงโดนไวกิ้งล่วงละเมิด
- นักโบราณคดี อ้างหลักฐาน เครื่องปั้นดินเผา บ่งชี้ ความบรรลัยจาก “โรคห่า” ในยุคกลาง
- ชาร์ล มาร์เทล และ “ยุทธการตูร์” ดับฝันจักรวรรดิอิสลาม ที่พยายามพิชิตยุโรป ในยุคกลาง
อ้างอิง :
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (2533). อารยธรรมสมัยโบราณ-สมัยกลาง. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อนันตชัย เลาหะพันธุ. (2529). อารยธรรมตะวันตก. นครปฐม: คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 29 สิงหาคม 2565