ผู้เขียน | อัศวัตถามา |
---|---|
เผยแพร่ |
ชาร์ล มาร์เทล ขุนศึกฝรั่งเศสผู้ดับฝัน จักรวรรดิอิสลาม ที่พยายามพิชิตยุโรปเมื่อยุคกลาง ใน “ยุทธการตูร์”
ชาร์ล มาร์เทล (Charles Martel, ค.ศ. 688-741) หรือ “ชาร์ล มาร์แตล” ขุนศึกผู้โด่งดังแห่งตระกูลคาโรแลงเจียน (House of Carolingians) ต้นราชวงศ์ของจักรพรรดิชาร์เลอมาญมหาราช เขาเป็นผู้นำทหารชาวแฟรงก์ (Franks) เผ่าพันธุ์ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวฝรั่งเศส
ชาร์ล มาร์เทลดำรงตำแหน่ง Mayor of the Palace หรือ “สมุหราชมณเฑียร” ซึ่งทางพฤตินัยนั้นทำหน้าที่เหมือนนายกรัฐมนตรี และเป็นรองเพียงกษัตริย์แฟรงก์แห่งราชวงศ์เมโรแวงเจียน (Merovingian dynasty) เท่านั้น เขายังมีคุณูปการอันยิ่งใหญ่ในการนำทัพต่อต้านการรุกรานยุโรปของกองทัพมุสลิมจากคาบสมุทรไอบีเรีย (สเปน-โปรตุเกส)
ชาร์ล มาร์เทล เกิดในตระกูลดยุคผู้หนึ่งของอาณาจักรแฟรงก์ หลังสืบทอดอำนาจและมรดกจากบิดา เขาเริ่มขยายอิทธิพลทางการเมืองตั้งแต่ ค.ศ. 718 ควบคุมอำนาจทางทหารของอาณาจักร นำทัพในสงครามปราบเผ่าเยอรมันกลุ่มอื่น ๆ ทั่วยุโรปตะวันตกและยุโรปตอนกลาง ทำให้เผ่าแฟรงก์กลายเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของชนเผ่าเยอรมันทั้งมวล และส่งผลให้ตระกูลคาโรแลงเจียนถูกยอมรับนับถืออย่างมากในบรรดากลุ่มชนเยอรมันที่เขาพิชิต
ผลงานสำคัญที่สุดของชาร์ล มาร์เทล ทั้งในฐานะขุนศึกแฟรงก์และคริสต์ศาสนิกชน คือชัยชนะใน ยุทธการตูร์ (Battle of Tours) เมื่อ ค.ศ. 732 ซึ่งทำให้การขยายอำนาจของจักรวรรดิอิสลามที่ปกครองคาบสมุทรไอบีเรียต้องหยุดชะงัก และอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นผลให้ศาสนาอิสลามไม่สามารถครอบงำยุโรปตอนในได้เหมือนที่ประสบความสำเร็จในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก
ก่อนการรุกรานยุโรปของ จักรวรรดิอิสลาม ดินแดนตะวันตกหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันแตกออกเป็นอาณาจักรและรัฐน้อยใหญ่มากมาย โดยมีเผ่าวิสิกอธปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของคาบสมุทรไอบีเรีย ส่วนยุโรปตอนในเหนือไอบีเรียขึ้นไปประกอบด้วยกลุ่มชนเยอรมันเผ่าต่าง ๆ มีเผ่าแฟรงก์เป็นผู้นำในการสถาปนาอาณาจักรอันมีเอกภาพภายใต้ราชวงศ์เมโรแวงเจียน
สำหรับฝั่งผู้รุกราน นโยบายการขยายอำนาจของจักรวรรดิอิสลามโดยคอลีฟะฮ์ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ (Umayyad Caliphate) ใช้หลักดาวกระจาย นั่นคือเหล่าเอมีร์ (Emir) ผู้ปกครองแคว้นต่าง ๆ ภายในจักรวรรดิมีอำนาจเต็มที่ในการนำทัพรุกรานดินแดนข้างเคียง เมื่อได้รับคำสั่งจากประมุข ณ กรุงดามัสกัส กองทัพที่อยู่ตามดินแดนต่าง ๆ สามารถทะยานไปทุกสารทิศเพื่อยึดครองดินแดนได้ทันทีพร้อมเผยแผ่ศาสนาอิสลาม นั่นเป็นผลให้จักรวรรดิอิสลามมีขนาดใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ ภายในช่วงเวลาอันสั้น
เมื่อพวกเขาแผ่อำนาจจากเอเชียตะวันตกมาถึงภูมิภาคมาเกร็บ (Maghreb) ตอนเหนือของแอฟริกา หรือบริเวณประเทศตูนิเซีย อัลจีเรีย โมรอคโก ฯลฯ ในปัจจุบัน เหล่านักรบมุสลิมหรือที่ชาวยุโรปมักเรียกว่า พวกซาราเซน (Saracens) ซึ่งประกอบด้วยชาวอาหรับ มัวร์ และเบอเบอร์ เริ่มรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ยุโรป โดยข้ามช่องแคบยิบรอลตาร์ (แอฟริกา) มายังไอบีเรีย (ยุโรป) เพื่อช่วงชิงดินแดนจากผู้ปกครองเดิม คือพวกวิสิกอธ
บรรดารัฐคริสเตียนขนาดเล็กและอาณาจักรของพวกวิสิกอธ ไม่สามารถต้านทานการรุกรานของนักรบซาราเซนได้ ใน ค.ศ. 718 ปีเดียวกับที่ชาร์ล มาร์เทล เริ่มมีบทบาทในอาณาจักรแฟรงก์ ดินแดนเกือบทั้งหมดของคาบสมุทรไอบีเรียได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอิสลามไปเรียบร้อย เหลือเพียงอาณาจักรอัสตูเรียส (Kingdom of Asturias) รัฐคริสเตียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรเท่านั้น ที่ยังยืนหยัดต่อต้านพวกมุสลิมต่อไป
การรุกรานแคว้นอากีเตน
หลังจักรวรรดิอิสลามสถาปนาอำนาจเหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ของคาบสมุทรไอบีเรีย คอลีฟะฮ์แห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์แต่งตั้งเอมีร์ปกครองไอบีเรีย โดยมีศูนย์กลางที่เมืองคอร์โดบา (Cordoba) ล่วงเข้า ค.ศ. 721 ทัพซาราเซนอันประกอบด้วยนักรบจากภูมิภาคมาเกร็บ คาบสมุทรอาหรับ ซีเรีย และชาวไอบีเรียนที่เข้ารีตเป็นมุสลิม ได้เริ่มรุกคืบข้ามเทือกเขาพีเรนิสเข้ามายังแคว้นอากีเตน (Aquitaine) ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส (รัฐบริวารของอาณาจักรแฟรงก์) ก่อนจะปิดล้อมเมืองตูลูส (Toulous) เมืองสำคัญของแคว้นอากีเตน และเจอการต่อต้านอย่างหนักจากดยุคแห่งอากีเตน เพื่อประวิงเวลาให้กองทัพแฟรงก์จากปารีสยกมาสนับสนุน
ระหว่างที่ชาร์ล มาร์เทล เรียกระดมทัพจากทั่วอาณาจักร ทัพซาราเซนที่ปิดล้อมเมืองตูลูสเริ่มอ่อนกำลังลง ประกอบกับข่าวว่ามีกองทัพขนาดใหญ่จากทางเหนือกำลังลงมาช่วยกู้สถานการณ์ที่ตูลูส ทำให้ทัพจักรวรรดิอิสลามตัดสินใจล่าถอยกลับไอบีเรียไป
11 ปีหลังการปิดล้อมตูลูส อับดุลเราะมาน อัล-คอฟีกี (Abd al-Rahman Al-Ghafiqi) เอมีร์แห่งคอร์โดบาได้รับคำสั่งจากกรุงดามัสกัสให้นำกำลังบุกขึ้นเหนืออีกครั้ง เพื่อพิชิตยุโรปตอนใน เขาเรียกระดมพลซาราเซนครั้งใหญ่ มีกำลังสำคัญคือทัพม้าเผ่าเบอร์เบอร์จากภูมิภาคมาเกร็บ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นนักรบบนหลังม้าที่เชี่ยวชาญการรบพุ่งในทุ่งโล่งที่สุด ทัพซาราเซนกลับมารุกรานภูมิภาคอากีเตนอีกหนด้วยสรรพกำลังที่พร้อมกว่าครั้งแรก ดยุคแห่งอากีเตนจึงเสียทั้งเมืองตูลูสและบอร์กโดซ์ (Bordeaux) เมืองสำคัญของแคว้นอากีเตนให้ฝ่ายจักรวรรดิอิสลาม
เมื่อปราการแห่งอากีเตนพังทลาย ทัพซาราเซนจึงสามารถรุกขึ้นเหนือเข้ามายังตอนกลางของอาณาจักรแฟรงก์ และอยู่ห่างจากปารีสด้วยระยะเดินทัพเพียงไม่กี่วัน
ชาร์ล มาร์เทล และราชสำนักแฟรงก์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระดมกำลังเท่าที่หาได้ แล้วเข้าต่อต้านฝ่ายมุสลิมทันที ซึ่งนั่นจะกลายเป็นสงครามที่ไม่เพียงเดิมพันด้วยเกียรติภูมิของชาวแฟรงก์ แต่รวมถึงสถานะของศาสนาคริสต์ในดินแดนยุโรปด้วย
สมรภูมิที่เมืองตูร์
วันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 732 กองทัพของทั้งสองฝ่ายปะทะกันที่เมืองตูร์และปัวติเยร์ (Poitiers) เป็นกองทัพแฟรงก์ราว 30,000 คน นำโดยชาร์ล มาร์เทล ส่วนฝ่ายจักรวรรดิอิสลามถูกประมาณการว่ามีกำลังถึง 80,000 คน นำโดย อับดุลเราะมาน อัล-คอฟีกี เอมีร์แห่งคอร์โดบา
หลักฐานที่บันทึกไว้เล่าว่า กองทัพแฟรงก์เป็นทหารราบทั้งหมด ไม่มีกองทัพม้า และกองทัพซาราเซนแห่งภูมิภาคอัล-อันดาลูส (Al-Andalus, คาบสมุทรไอบีเรียภายใต้การปกครองของจักรวรรดิอิสลาม) โดยเฉพาะทัพม้าเบอร์เบอร์ได้สร้างความหวาดวิตกให้ฝ่ายแฟรงก์พอสมควร
การสู้รบดำเนินไปกว่า 7 วัน ชาร์ล มาร์เทล เลือกใช้ยุทธวิธีตั้งรับแบบฟาแลงซ์ (Phalanx) อาศัยความคุ้นเคยพื้นที่สมรภูมิรบของฝ่ายแฟรงก์และความได้เปรียบทางภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาเตี้ย ๆ สลับที่ลุ่ม-ที่ดอน ลดทอนอานุภาพของทัพม้าเบอร์เบอร์
ในที่สุดความสูญเสียของฝ่ายซาราเซนก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากภูมิประเทศที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อพวกเขานัก ประกอบกับเอมีร์อับดุลเราะมาน อัล-คอฟีกี ดันสิ้นชีพระหว่างการสู้รบ ขุนศึกที่เหลือของกองทัพจักรวรรดิอิสลามจึงตัดสินใจล่าถอยจากพื้นที่ดังกล่าว พร้อมความสูญเสียที่วิเคราะห์กันว่าอาจมีจำนวนมากถึง 10,000-12,000 คน ขณะที่ฝ่ายแฟรงก์สูญเสียหลักพันคนเท่านั้น
ยุทธการตูร์ลดทอนความมั่นใจของจักรวรรดิอิสลามในการพิชิตยุโรปตอนในไปมากพอสมควร เพราะหลังจากนั้นคือไม่ปรากฏการระดมกำลังขนาดใหญ่ของฝ่ายมุสลิมเพื่อรุกขึ้นเหนืออีก อย่างไรก็ตาม อำนาจของจักรวรรดิอิสลามไม่ได้สูญสลายไปจากยุโรป พวกเขายังคงปกครองคาบสมุทรไอเบียหรือภูมิภาคอัล-อันดาลูสต่อมาอีกหลายร้อยปี แม้ผู้นำฝ่ายคริสเตียนจะพยายามปลดปล่อยดินแดนแห่งนี้จากการปกครองของฝ่ายอิสลามอยู่หลายครั้งตลอดช่วงเวลาดังกล่าวก็ตาม
ชัยชนะของกองทัพแฟรงก์ที่เมืองตูร์ เป็นหนึ่งในสงครามที่ส่งผลต่อประวัติศาสตร์ยุโรปอยู่ไม่น้อย หากทัพของจักรวรรดิอิสลามคว้าชัยในสงครามครั้งนั้น ประวัติศาสตร์ของดินแดนต่าง ๆ ในฝรั่งเศสและยุโรปตอนในอาจต่างไปจากที่ดำเนินต่อมาอย่างสิ้นเชิง
เพราะอำนาจของ จักรวรรดิอิสลาม ณ ช่วงเวลานั้นใกล้เคียงความไร้เทียมทานอย่างยิ่ง พวกเขาคุกคามจักรวรรดิไบเซนไทน์จนสูญสิ้นอำนาจเหนือภูมิภาคเอเชียตะวันตก อียิปต์ อนาโตเลีย (ตุรกี) ขณะเดียวกันก็แผ่อำนาจไปทางตะวันออกจรดดินแดนจีน ฝั่งตะวันตกยังคลอบคลุมแอฟริกาเหนือทั้งหมด และศูนย์กลางอำนาจในไอบีเรียก็มั่นคงอย่างมาก
หากอาณาจักรแฟรงก์ต้านทานไม่ได้ในศึกนั้น ไม่แน่ว่าทุกวันนี้ หลายประเทศในยุโรปอาจใช้ “ภาษาอาหรับ” เป็นภาษาราชการก็ได้
บารมีแผ่ไพศาล
ชัยชนะของ ชาร์ล มาร์เทล ถูกเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องราวทางศาสนาว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่อำนวยชัยให้ฝ่ายคริสเตียน เขาได้สมญานามภาษาละตินว่า “Martellus” หรือค้อน (Hammer) คล้ายกับเรื่องราวของ จูดาส แมคคาเบอุส (Judas Maccabeus) ผู้นำกบฏมัคคาเบียนในสงครามปลดปล่อยชาวยิวจากจักรวรรดิเซลูซิดของชาวกรีก
ภายหลัง ยุทธการตูร์ อาณาจักรแฟรงก์ภายใต้การนำของชาร์ล มาร์เทล ยังคงขยายอำนาจในยุโรปอย่างต่อเนื่อง พวกเขาพิชิตแคว้นโปรวองซ์ (Duchy of Provence) เบอร์กันดี (Duchy of Burgundy) ฟริเซีย (Duchy of Frisia) และเจริญสัมพันธไมตรีกับคริสตจักรที่กรุงโรมอย่างแนบแน่น
ระหว่าง ค.ศ. 737-743 เมื่ออาณาจักรแฟรงก์คาโรแลงเจียนไร้กษัตริย์ปกครอง ชาร์ล มาร์เทล ยังดำรงตำแหน่งสมุหราชมณเฑียรต่อไป แต่สถานะและอำนาจบารมีแทบไม่ต่างกษัตริย์เลย
ใน ค.ศ. 739 เขาจึงถูกเชิดชูในฐานะ “ดยุคและเจ้าชายแห่งแฟรงก์” (Duke and Prince of Frank)
ค.ศ. 741 ชาร์ล มาร์เทล บุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรแฟรงก์ (แต่ไม่ใช่กษัตริย์) สิ้นชีพด้วยวัย 53 ปี ศพของเขาถูกฝังที่บาซิลิกาแห่งเซนต์เดนิส (Basilica of Saint-Denis) กรุงปารีส
ตัวตนของ ชาร์ล มาร์เทล ยังส่งผลต่อพัฒนาการของ “ระบบฟิวดัล” (Feudalism) หรือศักดินาในยุคกลาง เขาคือต้นแบบของลอร์ดผู้พิทักษ์ อัศวิน นักรบ นักการทหาร ที่แม้ไม่ใช่กษัตริย์ก็สามารถปกป้องมาตุภูมิได้ ภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งนี้ ส่งเสริมให้ทายาทที่รับมรดกทางอำนาจต่อจากเขาสามารถสถาปนาราชวงศ์ใหม่ของชาวแฟรงก์ และแผ่อำนาจไปทั่วยุโรปตะวันตก-ตอนกลางของทวีป นั่นคือจักรวรรดิแฟรงก์คาโรแลงเจียนอันเกรียงไกร
อ่านเพิ่มเติม :
- เมื่อยุโรปเข้าสู่ยุคกลาง คริสตจักรทวีอำนาจ และการผงาดของ “เผ่าแฟรงก์”
- อาหรับปะทะเปอร์เซีย! การพิชิตจักรวรรดิแซสซาเนียนโดยรัฐอิสลาม
- “ยุทธการกรุงเวียนนา” หน่วยฮุสซาร์ผงาด แรงบันดาลใจศึกใหญ่ “Lord of the Rings”
อ้างอิง :
ธิติพงศ์ มีทอง. (2563). ชาร์ล มาร์แตลกับการสถาปนาราชวงศ์คาโรลิงเกียในประวัติศาสตร์ยุคกลาง. งานประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 12 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม.
The Encyclopedia of World History, Bartleby.com : The Frankish Kingdom. (Online)
Eleanor Shipley Duckett, Encyclopaedia Britannica (OCT 18, 2022) : Charles Martel, Frankish ruler. (Online)
History.com Editors, HISTORY (OCT 9, 2019): October 10 ‘Battle of Tours’. (Online)
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 15 ธันวาคม 2565