ชาร์ล มาร์เทล และ “ยุทธการตูร์” ดับฝันจักรวรรดิอิสลามที่พยายามพิชิตยุโรปในยุคกลาง

ชาร์ล มาร์เทล นำทัพแฟรงก์รบกับทัพมุสลิมในยุทธการที่เมืองตูร์ (ภาพจาก Wikimedia Commons)

ชาร์ล มาร์เทล (Charles Martel, ค.ศ. 688-741) หรือ “ชาร์ล มาร์แตล” ขุนศึกผู้โด่งดังแห่งตระกูลคาโรแลงเจียน (House of Carolingians) ต้นราชวงศ์ของจักรพรรดิชาร์เลอมาญมหาราช เขาเป็นผู้นำทหารชาวแฟรงก์ (Franks) เผ่าพันธุ์ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวฝรั่งเศส ชาร์ล มาร์เทลดำรงตำแหน่ง Mayor of the Palace หรือ “สมุหราชมณเฑียร” ซึ่งทางพฤตินัยนั้นทำหน้าที่เหมือนนายกรัฐมนตรีและเป็นรองเพียงกษัตริย์แฟรงก์แห่งราชวงศ์เมโรแวงเจียน (Merovingian dynasty) เท่านั้น เขายังมีคุณูปการอันยิ่งใหญ่ในการนำทัพต่อต้านการรุกรานยุโรปของกองทัพมุสลิมจากคาบสมุทรไอบีเรีย (สเปน-โปรตุเกส)

ชาร์ล มาร์เทล เกิดในตระกูลดยุคผู้หนึ่งของอาณาจักรแฟรงก์ หลังสืบทอดอำนาจและมรดกจากบิดา เขาเริ่มขยายอิทธิพลทางการเมืองตั้งแต่ ค.ศ. 718 ควบคุมอำนาจทางทหารของอาณาจักร นำทัพในสงครามปราบเผ่าเยอรมันกลุ่มอื่น ๆ ทั่วยุโรปตะวันตกและยุโรปตอนกลาง ทำให้เผ่าแฟรงก์กลายเป็นมหาอำนาจหนึ่งเดียวของชนเผ่าเยอรมันทั้งมวลและส่งผลให้ตระกูลคาโรแลงเจียนถูกยอมรับนับถืออย่างมากในบรรดากลุ่มชนเยอรมันที่เขาพิชิต

ผลงานสำคัญที่สุดของชาร์ล มาร์เทล ทั้งในฐานะขุนศึกแฟรงก์และคริสต์ศาสนิกชนคือชัยชนะในยุทธการตูร์ (Battle of Tours) เมื่อ ค.ศ. 732 ซึ่งทำให้การขยายอำนาจของจักรวรรดิอิสลามที่ปกครองคาบสมุทรไอบีเรียต้องหยุดชะงักและอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ศาสนาอิสลามไม่สามารถครอบงำยุโรปตอนในได้เหมือนที่ประสบความสำเร็จในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก

ภาพเขียนชาร์ล มาร์เทลในชุดเกราะแบบเยอรมัน, ศตวรรษที่ 16 (ภาพจาก Wikimedia Commons)

ก่อนการรุกรานยุโรปของจักรวรรดิอิสลาม ดินแดนตะวันตกหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันแตกออกเป็นอาณาจักรและรัฐน้อยใหญ่มากมาย โดยมีเผ่าวิสิกอธปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของคาบสมุทรไอบีเรีย ส่วนยุโรปตอนในเหนือไอบีเรียขึ้นไปประกอบด้วยกลุ่มชนเยอรมันเผ่าต่าง ๆ มีเผ่าแฟรงก์เป็นผู้นำในการสถาปนาอาณาจักรอันมีเอกภาพภายใต้ราชวงศ์เมโรแวงเจียน

สำหรับฝั่งผู้รุกราน นโยบายการขยายอำนาจของจักรวรรดิอิสลามโดยคอลีฟะฮ์ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ (Umayyad Caliphate) ใช้หลักดาวกระจาย นั่นคือ เอมีร์ (Emir) ผู้ปกครองแคว้นต่าง ๆ ภายในจักรวรรดิมีอำนาจเต็มที่ในการนำทัพรุกรานดินแดนข้างเคียง เมื่อได้รับคำสั่งจากประมุข ณ กรุงดามัสกัส กองทัพที่อยู่ตามดินแดนต่าง ๆ สามารถทะยานไปทุกสารทิศเพื่อยึดครองดินแดนพร้อมเผยแผ่ศาสนาอิสลามได้ทันที นั่นเป็นผลให้จักรวรรดิอิสลามใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ

กระทั่งพวกเขาแผ่อำนาจจากเอเชียตะวันตกมาถึงภูมิภาคมาเกร็บ (Maghreb) ตอนเหนือของแอฟริกาหรือบริเวณประเทศตูนิเซีย อัลจีเรีย โมรอคโก ฯลฯ ในปัจจุบัน ในที่สุดเหล่านักรบมุสลิมหรือที่ชาวยุโรปมักเรียกว่า พวกซาราเซน (Saracens) ซึ่งประกอบด้วยชาวอาหรับ มัวร์ และเบอเบอร์ โดยการนำของเอมีร์ก็เริ่มเข้ามาในพื้นที่ยุโรปโดยข้ามช่องแคบยิบรอลตาร์มายังไอบีเรียเพื่อช่วงชิงดินแดนจากพวกวิสิกอธ

บรรดารัฐคริสเตียนขนาดเล็กและอาณาจักรของพวกวิสิกอธไม่สามารถต้านทานการรุกรานของนักรบซาราเซนได้ และในปีเดียวกับที่ชาร์ล มาร์เทล เริ่มมีบทบาทในอาณาจักรแฟรงก์ (ค.ศ. 718) ดินแดนเกือบทั้งหมดของคาบสมุทรไอบีเรียก็ตกเป็นของจักรวรรดิอิสลามไปเรียบร้อย เหลือเพียงอาณาจักรอัสตูเรียส (Kingdom of Asturias) รัฐคริสเตียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรที่ยังยืนหยัดต่อต้านจักรวรรดิอิสลามได้

การรุกรานแคว้นอากีเตน

หลังจักรวรรดิอิสลามสถาปนาอำนาจเหนือคาบสมุทรไอบีเรีย คอลีฟะฮ์แห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์ได้แต่งตั้งเอมีร์ปกครองไอบีเรียโดยมีศูนย์กลางที่เมืองคอร์โดบา (Cordoba) เมื่อล่วงเข้า ค.ศ. 721 ทัพซาราเซนอันประกอบด้วยนักรบจากภูมิภาคมาเกร็บ คาบสมุทรอาหรับ ซีเรีย และชาวไอบีเรียนก็เริ่มรุกคืบข้ามเทือกเขาพีเรนิสเข้ามายังแคว้นอากีเตน (Aquitaine) ทางใต้ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นรัฐบริวารของอาณาจักรแฟรงก์ ก่อนจะปิดล้อมเมืองตูลูส (Toulous) เมืองสำคัญของแคว้นอากีเตน และเจอการต่อต้านอย่างหนักจากดยุคแห่งอากีเตนเพื่อประวิงเวลาให้กองทัพแฟรงก์จากปารีสยกมาสนับสนุน

ระหว่างที่ชาร์ล มาร์เทล เรียกระดมทัพจากทั่วอาณาจักร ทัพซาราเซนที่ปิดล้อมและพยายามยึดเมืองตูลูสก็อ่อนกำลังลง ประกอบกับข่าวกองทัพขนาดใหญ่จากทางเหนือทำให้ทัพจักรวรรดิอิสลามล่าถอยกลับไอบีเรียไป

11 ปีหลังการปิดล้อมตูลูส อับดุลเราะมาน อัล-คอฟีกี (Abd al-Rahman Al-Ghafiqi) เอมีร์แห่งคอร์โดบาก็ได้รับคำสั่งจากกรุงดามัสกัสให้นำกำลังบุกขึ้นเหนืออีกครั้งเพื่อพิชิตยุโรปตอนใน เขาเรียกระดมพลซาราเซนครั้งใหญ่อีกครั้ง มีกำลังสำคัญคือทัพม้าเผ่าเบอร์เบอร์จากภูมิภาคมาเกร็บซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นนักรบบนหลังม้าที่เชี่ยวชาญการรบพุ่งในทุ่งโล่งที่สุด ทัพซาราเซนกลับมารุกรานภูมิภาคอากีเตนด้วยสรรพกำลังที่พร้อมกว่าครั้งแรก ดยุคแห่งอากีเตนจึงเสียทั้งเมืองตูลูสและบอร์กโดซ์ (Bordeaux) เมืองสำคัญของแคว้นอากีเตนให้ฝ่ายจักรวรรดิอิสลาม

ทัพซาราเซนรุกขึ้นเหนือเข้ามายังตอนกลางของอาณาจักรแฟรงก์และอยู่ห่างจากปารีสด้วยระยะเดินทัพเพียงไม่กี่วัน ชาร์ล มาร์เทล และราชสำนักแฟรงก์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระดมกำลังที่หาได้เข้าปะทะฝ่ายมุสลิมทันที ซึ่งนั่นจะกลายเป็นสงครามที่ไม่เพียงเดิมพันด้วยเกียรติภูมิของชาวแฟรงก์ แต่รวมถึงสถานะของศาสนาคริสต์ในดินแดนยุโรปด้วย

ภาพนักรบซาราเซน ที่รุกรานฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 8, วาดโดย
Julius Schnorr von Carolsfeld ในศตวรรษที่ 19 (ภาพจาก Wikimedia Commons)

สมรภูมิที่เมืองตูร์

วันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 732 กองทัพของทั้งสองฝ่ายปะทะกันที่เมืองตูร์และปัวติเยร์ (Poitiers) กองทัพแฟรงก์ราว 30,000 คน นำโดยชาร์ล มาร์เทล ส่วนฝ่ายจักรวรรดิอิสลามนั้นถูกประมาณการว่ามีกำลังถึง 80,000 คน นำโดยเอมีร์แห่งคอร์โดบา หลักฐานที่บันทึกไว้เล่าว่ากองทัพแฟรงก์เป็นทหารราบทั้งหมด ไม่มีกองทัพม้า และกองทัพซาราเซนแห่งภูมิภาคอัล-อันดาลูส (Al-Andalus, คาบสมุทรไอบีเรียของจักรวรรดิอิสลาม) โดยเฉพาะทัพม้าเบอร์เบอร์ก็สร้างความหวาดวิตกให้ฝ่ายแฟรงก์พอสมควร

การสู้รบดำเนินไปกว่า 7 วัน ชาร์ล มาร์เทล เลือกใช้ยุทธวิธีตั้งรับแบบฟาแลงซ์ (Phalanx) อาศัยความคุ้นเคยพื้นที่สมรภูมิรบของฝ่ายแฟรงก์และความได้เปรียบทางภูมิประเทศ (ไม่ได้เป็นที่ราบ) ลดทอนอานุภาพของทัพม้าเบอร์เบอร์ ในที่สุดความสูญเสียของฝ่ายซาราเซนก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับเอมีร์อับดุลเราะมาน อัล-คอฟีกี สิ้นชีพระหว่างการสู้รบ ขุนศึกที่เหลือของกองทัพจักรวรรดิอิสลามจึงตัดสินใจล่าถอยจากพื้นที่ดังกล่าวพร้อมความสูญเสียซึ่งมีการวิเคราะห์ว่าเป็นจำนวนมากถึง 10,000-12,000 คน ขณะที่ฝ่ายแฟรงก์สูญเสียหลักพันคนเท่านั้น

ยุทธการตูร์ลดทอนความมั่นใจของจักรวรรดิอิสลามในการพิชิตยุโรปตอนในไปมากพอสมควร เพราะหลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏการระดมกำลังขนาดใหญ่เพื่อรุกขึ้นเหนือจากฝ่ายมุสลิมอีก อย่างไรก็ตาม อำนาจของจักรวรรดิอิสลามไม่ได้สูญสลายไปจากยุโรป พวกเขายังคงปกครองคาบสมุทรไอเบียต่อมาอีกหลายร้อยปีแม้ผู้นำฝ่ายคริสเตียนจะพยายามอย่างหนักเพื่อปลดปล่อยดินแดนแห่งนี้จากการปกครองของฝ่ายอิสลาม

ชัยชนะของกองทัพแฟรงก์ที่เมืองตูร์เป็นหนึ่งในสงครามที่ส่งผลต่อประวัติศาสตร์ยุโรปอยู่ไม่น้อย หากทัพของจักรวรรดิอิสลามคว้าชัยในสงครามครั้งนั้น ประวัติศาสตร์ของดินแดนต่าง ๆ ในฝรั่งเศสและยุโรปตอนในอาจต่างไปจากที่ดำเนินต่อมาอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากอำนาจของจักรวรรดิอิสลามช่วงเวลานั้นใกล้เคียงความไร้เทียมทานอย่างยิ่ง พวกเขาคุกคามจักรวรรดิไบเซนไทน์จนสูญสิ้นอำนาจเหนือภูมิภาคเอเชียตะวันตก อียิปต์ อนาโตเลีย (ตุรกี) ขณะเดียวกันก็แผ่อำนาจไปทางตะวันออกจรดดินแดนจีน ฝั่งตะวันตกยังคลอบคลุมแอฟริกาเหนือทั้งหมด และศูนย์กลางอำนาจบนคาบสมุทรไอบีเรียก็มั่นคงอย่างมาก หากอาณาจักรแฟรงก์ต้านทานไม่ได้ ไม่แน่ว่าทุกวันนี้อาจมีหลายประเทศในยุโรปที่ใช้ภาษาอาหรับเป็นภาษาราชการ

อาณาจักรแฟรงก์ในยุคของชาร์ล มาร์เทล และตำแหน่งของยุทธการตูร์, โดย J. F. Horrabin ปี 1923 (ภาพจาก archive.org / Internet Archive)

บารมีแผ่ไพศาล

ชัยชนะของชาร์ล มาร์เทล ถูกเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องราวทางศาสนาว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่อำนวยชัยให้ฝ่ายคริสเตียน เขาได้สมญานามภาษาละตินว่า “Martellus” หรือค้อน (Hammer) ซึ่งคล้ายคลึงกับเรื่องราวของ จูดาส แมคคาเบอุส (Judas Maccabeus) ผู้นำกบฏมัคคาเบียนในสงครามปลดปล่อยชาวยิวจากจักรวรรดิเซลูซิดของชาวกรีก

หลังยุทธการตูร์ อาณาจักรแฟรงก์ภายใต้การนำของชาร์ล มาร์เทล ยังคงขยายอำนาจในยุโรปอย่างต่อเนื่อง พวกเขาพิชิตแคว้นโปรวองซ์ (Duchy of Provence) เบอร์กันดี (Duchy of Burgundy) ฟริเซีย (Duchy of Frisia) และเจริญสัมพันธไมตรีกับคริสตจักรที่กรุงโรมอย่างแนบแน่น ระหว่าง ค.ศ. 737-743 อาณาจักรแฟรงก์คาโรแลงเจียนไร้กษัตริย์ปกครอง ชาร์ล มาร์เทล ยังดำรงตำแหน่งสมุหราชมณเฑียรต่อไป แต่สถานะและอำนาจบารมีไม่ต่างกษัตริย์เลย ใน ค.ศ. 739 เขาจึงถูกเชิดชูในฐานะ “ดยุคและเจ้าชายแห่งแฟรงก์” (Duke and Prince of Frank)

ค.ศ. 741 ชาร์ล มาร์เทล บุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรแฟรงก์แต่ไม่ใช่กษัตริย์สิ้นชีพด้วยวัย 53 ปี ศพของเขาถูกฝังที่วิหารบาซิลิกาแห่งเซนต์เดนิส (Basilica of Saint-Denis) กรุงปารีส

ตัวตนของชาร์ล มาร์เทลยังส่งผลต่อพัฒนาการของระบบฟิวดัล (Feudalism) หรือศักดินาสวามิภักดิ์ในยุคกลาง เขาคือต้นแบบอันเด่นชัดของลอร์ดผู้พิทักษ์ อัศวิน นักรบ นักการทหารที่ปกป้องมาตุภูมิแม้ไม่ใช่กษัตริย์ สถานภาพอันแข็งแกร่งข้างตนส่งเสริมให้เหล่าทายาทของเขาซึ่งรับช่วงต่อมรดกอันยิ่งใหญ่สามารถสถาปนาราชวงศ์คาโรแลงเจียนแล้วแผ่อำนาจไปทั่วยุโรปตะวันตกและตอนกลางของทวีปจนกลายเป็นจักรวรรดิแฟรงก์คาโรแลงเจียนอันเกรียงไกรในเวลาต่อมา

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

ธิติพงศ์ มีทอง. (2563). ชาร์ล มาร์แตลกับการสถาปนาราชวงศ์คาโรลิงเกียในประวัติศาสตร์ยุคกลาง. งานประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 12 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม.

The Encyclopedia of World History, Bartleby.com : The Frankish Kingdom. (Online)

Eleanor Shipley Duckett, Encyclopaedia Britannica (OCT 18, 2022) : Charles Martel, Frankish ruler. (Online)

History.com Editors, HISTORY (OCT 9, 2019): October 10 ‘Battle of Tours’. (Online)


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 15 ธันวาคม 2565