“ยุทธการกรุงเวียนนา” หน่วยฮุสซาร์ผงาด แรงบันดาลใจศึกใหญ่ “Lord of the Rings”

กษัตริย์จอห์นที่ 3 โซเบียสกี พร้อมหน่วย วิหคฮุสซาร์ ใน ยุทธการกรุงเวียนนา กรุงเวียนนา
กษัตริย์จอห์นที่ 3 โซเบียสกี ส่งจดหมายชัยชนะในสงครามปลดปล่อยกรุงเวียนนาถึงพระสันตะปาปา, ผลงานของ Jan Matejko (ภาพจาก Wikimedia Commons)

ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 เกิด “ยุทธการกรุงเวียนนา” หรือสงครามปิดล้อมกรุงเวียนนา โดยกองทัพ “เติร์ก” ที่เกือบประสบความสำเร็จอยู่รอมร่อ หากนครแห่งนี้พ่ายแพ้และกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกอิสลาม โฉมหน้าของทวีปยุโรปอาจต่างไปจากทุกวันนี้ แต่เวียนนารอดพ้นจากศึกปิดล้อมอันยาวนานได้ เพราะความช่วยเหลือจากชาติพันธมิตรยุโรป โดยเฉพาะหน่วยทหารม้าอันโด่งดัง “วิหคฮุสซาร์” ที่ตีกระหนาบทัพเติร์กจนแตกพ่าย

เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นแรงบันดาลใจในวรรณกรรมอมตะเรื่อง The Lord of the Rings ด้วย

การรุกรานของออตโตมัน

จักรวรรดิออตโตมัน ที่สถาปนาโดยชาว “เติร์ก” (Turk) ถูกยอมรับว่าเป็นมหาอำนาจยุโรปในยุคสมัยของ สุลต่านสุไลมานผู้เกรียงไกร (Suleiman the Magnificent, ครองราชย์ ค.ศ. 1520-1566) มี ราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (Habsburg) แห่งออสเตรียเป็นคู่ขัดแย้งหลัก พวกเติร์กสามารถพิชิตพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงรัฐที่เคยอยู่ใต้อำนาจของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก โดยการรุกรานครั้งสำคัญเกิดขึ้นในสมัยสุลต่านสุไลมานนี่เอง

หลังจากจักรวรรดิออตโตมันในยุคสุลต่านสุไลมานสามารถครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ของฮังการี มีชายแดนประชิดติดราชอาณาจักรออสเตรียของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ซึ่งประมุขดำรงตำแหน่งจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ด้วย สุลต่านสุไลมานนำทัพรุกยุโรปอย่างต่อเนื่องด้วยการบุกกรุงเวียนนาครั้งแรกในปี 1529 แต่พระองค์ล้มเหลวในการพิชิตนครแห่งนี้ เมื่อฤดูหนาวมาเยือน ออตโตมันก็ล้มเลิกการโจมตีแล้วถอนทัพกลับ

อย่างไรก็ตาม การพิชิตเวียนนาไม่เคยหายไปจากความคิดของผู้นำออตโตมัน เพราะศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ฮับส์บูร์กแห่งนี้เป็นดั่งอัญมณีของยุโรป เป็นนครหลวงของราชอาณาจักรออสเตรีย ราชสำนักของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และยุทธศาสตร์สำคัญที่เป็นปากประตูสู่ตอนกลางของทวีป การบรรลุความสำเร็จในสิ่งที่สุลต่านสุไลมานผู้เกรียงไกรเคยล้มเหลวจึงดึงดูดให้พวกเติร์กเคลื่อนไหวอีกครั้งในต้นทศวรรษ 1680 ในยุคของ สุลต่านเมห์เมดที่ 4 (Mehmed IV)

สงครามนี้ส่วนหนึ่งมาจากการร้องขอโดย อิมเร โทโคลี (Imre Thököly) ผู้นำฮังกาเรียนที่นับถือศาสนาคริสต์ แต่เป็นนิกายคาลแวง (Calvinism) เขาติดต่อแกรนด์วิเซียร์ (Grand Vizier, เทียบได้กับตำแหน่งอัครเสนาบดี) แห่งจักรวรรดิออตโตมัน คือ คารา มุสตาฟา ปาชา (Kara Mustafa Pasha) ให้โจมตีกรุงเวียนนา เพราะราชวงศ์ฮับส์บูร์กยังไม่ฟื้นตัวจากสงคราม 30 ปี (Thirty Years’ War) จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะพิชิตนครแห่งนี้

แกรนด์วิเซียร์ คารา มุสตาฟา ปาชา
แกรนด์วิเซียร์ คารา มุสตาฟา ปาชา (ภาพจาก Wikimedia Commons / Wien museum)

เมื่อฝ่ายราชวงศ์ฮับส์บูร์กทราบข่าว จักรพรรดิเลโอโปลด์ที่ 1 (Leopold I, ครองราชย์ ค.ศ. 1658-1705) แห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ตัดสินใจเสด็จลี้ภัยออกจากกรุงเวียนนา ย้ายราชสำนักก่อนการมาถึงของกองทัพออตโตมัน เพื่อไปรวบรวมพันธมิตรรัฐคริสเตียนทั้งหลายในนาม สันนิบาตศักดิ์สิทธิ์ (Holy League) มาช่วยต่อต้านการรุกรานหนนี้

การปิดล้อมกรุงเวียนนาครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1683 กองทัพออตโตมันนำโดยแกรนด์วิเซียร์ คารา มุสตาฟา ปาชา มีกำลังพลทั้งสิ้น 150,000 นาย ซึ่ง 1 ใน 10 ของกองทัพนี้คือหน่วยจานิสซารี (Janissary) นักรบระดับสูงของจักรวรรดิออตโตมัน ทหารราบที่มีระเบียบวินัยและแข็งแกร่งที่สุด เวียนนาจึงต้องรับมือกับกองทัพมหาศาลที่มีหน่วยรบที่น่าครั่นคร้ามเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกในศตวรรษที่ 17

กองทัพออตโตมันยังเรียนรู้จากความล้มเหลวในการปิดล้อมครั้งแรก คารา มุสตาฟา ปาชา รู้ว่าการถอนทัพของสุลต่านสุไลมานในฤดูหนาวมีสาเหตุมาจากฝ่ายเติร์กขัดสนเสบียงอาหาร เขาจึงสั่งให้สร้างถนนส่งเสบียงเชื่อมเส้นทางสู่เวียนนาให้กองทัพสามารถปิดล้อมนครแห่งนี้ได้นานเท่าที่ต้องการ

แม้จะเหลือกำลังป้องกันเมืองเพียง 15,000 นาย แต่กรุงเวียนนาภายใต้การดูแลของโยฮันน์ แอนเดรียส ฟอน ลีเบนเบิร์ก (Johann Andreas von Liebenberg) กับเอิร์นส์ รูดิเกอร์ ฟอน สตาร์เฮมเบิร์ก (Ernst Rüdiger von Starhemberg) นายกเทศมนตรีและหัวหน้ากองกำลังพิทักษ์เมือง ยังยืนหยัดท้าทายทัพเติร์กด้วยระบบป้องกันเมืองที่แข็งแกร่ง

กรุงเวียนนาในยุคนั้นคือนครที่มีกำแพงแน่นหนา ป้อมปราการสูงใหญ่ทรงแฉกคล้ายดวงดาวรายล้อมรอบเมืองพร้อมบรรจุปืนใหญ่หลายกระบอก กองกำลังป้องกันเมืองจึงมั่นใจว่ากำแพงและป้อมปืนจะยันข้าศึกได้ระยะหนึ่งเพื่อประวิงเวลารอทัพหนุนจากจักรพรรดิเลโอโปลด์ที่ 1 ประมุขของพวกเขา

แต่จากวันสู่สัปดาห์ สัปดาห์ล่วงเลยเป็นเดือน กรุงเวียนนายังไร้วี่แววความช่วยเหลือจากภายนอก ฝ่ายออตโตมันขุดสนามเพลาะล้อมเมืองเพื่อป้องกันการโจมตีจากป้อมปืน ภายในเมืองเริ่มประสบปัญหาจากเสบียงที่เก็บตุนไว้ค่อย ๆ หมดลง ขณะที่ฝ่ายออตโตมันมีทรัพยากรลำเลียงมาสนับสนุนเรื่อย ๆ

ถึงอย่างนั้น คารา มุสตาฟา ปาชา ทราบดีว่าไม่ช้ากองทัพคริสเตียนจะแห่กันมาที่นี่ จึงต้องการเผด็จศึกให้เร็วที่สุด เขาบัญชาให้ทหารเติร์กขุดอุโมงค์มุดใต้กำแพงสำหรับฝังระเบิดไว้และจุดระเบิดกำแพง เพื่อเปิดทางให้ทหารราบบุกเข้าไปในเมือง

ยุทธการเวียนนา
ยุทธการเวียนนา ปี 1683 กองทัพออตโตมันปิดล้อมกรุงเวียนนา (ภาพจาก Wikimedia Commons)

“ยุทธการกรุงเวียนนา” ความช่วยเหลือจากพันธมิตร

ในขณะเดียวกัน จักรพรรดิลีโอโปลด์ที่ 1 ทรงส่งจดหมายขอความช่วยเหลือไปยัง สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 11 (Pope Innocent XI) แห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก ณ กรุงโรม ร้องขอให้พระสันตะปาปาเป็นสื่อกลางเรียกร้องให้รัฐคริสเตียนทั่วยุโรปมาช่วยรบในสงครามปลดปล่อยกรุงเวียนนา

พระสันตะปาปาตอบรับคำร้องขอดังกล่าวทันที พยายามโน้มน้าวพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส แต่ถูกเพิกเฉย รวมถึงขอให้เครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย และพันธมิตรทั้งหลายในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ รัฐในเยอรมันและอิตาลีเข้า ร่วมสันนิบาตศักดิ์สิทธิ์ 

หลังประกาศจากวาติกันถูกส่งออกไป ตอนแรกเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนียไม่เต็มใจจะช่วยนัก กระทั่งพระสันตะปาปาสามารถชักชวนชาร์ลส์แห่งลอร์เรนให้เข้าร่วมกองทัพผู้เลือก (The Electors) แห่งแซกโซนีและบาวาเรีย รวมถึงคำตอบรับจากเจ้าชายเยอรมันอีก 30 องค์ โปแลนด์จึงยอมร่วมในศึกนี้ เป็นผลให้ฝ่ายคริสเตียนสามารถระดมพลสันติบาติศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นจำนวนมากพอ (รวมกันราว ๆ 80,000 นาย) ที่จะรุดไปช่วยกรุงเวียนนาได้

สถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายจึงเป็นการแข่งขันกับเวลาอย่างแท้จริง เพราะฝ่ายเติร์กเองพยายามทำลายกำแพงกรุงเวียนนาให้ได้ก่อนกองทัพคริสเตียนจะยกมาตีขนาบ แต่ด้วยระยะห่างของรัฐและอาณาจักรชาวคริสต์ การรวมตัวกันจึงต้องใช้เวลาเป็นแรมเดือน ขณะที่กรุงเวียนนาขยับเข้าใกล้ห้วงวิกฤตเข้าไปทุกที

11 กันยายน ปี 1683 กองทัพออตโตมันสามารถระเบิดกำแพงเมืองเป็นผลสำเร็จ กองกำลังรักษาเมืองพยายามทุ่มสุดตัวเพื่อยื้อเวลาให้นานที่สุด เป็นเวลาเดียวกับที่แนวหน้ากองทัพสันนิบาตศักดิ์สิทธิ์ภายใต้การนำของจักรพรรดิลีโอโปลด์ที่ 1 อันประกอบด้วยกองทัพออสเตรียและจากรัฐในเยอรมันและอิตาลีเดินทางมาถึง แต่ทัพนี้มีกำลังทหารราว 47,000 นาย ซึ่งแน่นอนว่าน้อยกว่าทหารเติร์กที่กำลังปิดล้อมกรุงเวียนนาอยู่

ส่วนกองทัพเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย ต้องมาถึงล่าช้ากว่าเพราะระยะทางและภูมิประเทศที่เป็นอุปสรรค นั่นคือผืนป่าที่กั้นระหว่างออสเตรียกับโปแลนด์ ทั้งพวกเขามีหน่วยทหารม้า “วิหคฮุสซาร์” (Winged Hussar) กองทัพม้าหนักหุ้มเกราะหนัก-ติดปีก ซึ่งไม่เหมาะสำหรับเดินทางในป่าทึบด้วย

ทหารม้า วิหคฮุสซาร์ ติด ปีก แห่ง โปแลนด์
หน่วยฮุสซาร์, ผลงาน Wojciech Kossak (ภาพจาก National Museum in Warsaw)

เมื่อมาถึงสมรภูมิก่อน จักรพรรดิลีโอโปลด์ที่ 1 มีทางเลือกไม่มากนัก เมื่อภาพตรงหน้าคือทหารเติร์กที่กำลังไหลทะลักเข้าสู่แนวป้องกันสุดท้ายของกรุงเวียนนา พระองค์ตัดสินใจรุดเข้าตีแนวหลังของทัพออตโตมันก่อนจะสายเกินไป ด้านฝ่ายเติร์กได้แบ่งกำลังส่วนหนึ่งมาต้านทานทัพหน้าของฝ่ายสันนิบาตศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกันนั้นก็แบ่งกำลังอีกส่วนทะลวงเข้าไปในเมืองต่อ

การต่อสู้ระหว่างกองทัพปลดปล่อยกรุงเวียนนากับฝ่ายออตโตมันเกิดขึ้นที่เนินเขาชื่อคาร์เลนเบิร์ก ห่างจากกรุงเวียนนาไม่กี่กิโลเมตร คารา มุสตาฟา ปาชา ให้ทหารราบทั่วไปเป็นแนวปะทะกองทัพสันนิบาตศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่หน่วยจานิสซารีบุกเข้าเมืองอย่างหนักต่อไป ปรากฏว่ากองทัพสันนิบาตศักดิ์สิทธิ์ได้เปรียบในเชิงยุทธศาสตร์จากแนวปะทะบริเวณเนินเขา จึงโจมตีแนวหน้าของกองทัพออตโตมันจนเริ่มถอยร่น

เติร์กปราชัย

เช้าตรู่วันที่ 12 กันยายน ปี 1683 ในที่สุดกองทัพเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย ที่นำโดย กษัตริย์จอห์นที่ 3 โซเบียสกี (John III Sobieski) ก็มาถึง พระองค์ไม่รอช้า นำหน่วยวิหคฮุสซาร์ควบตะบึงลงจากเนินเขาพุ่งเข้าใส่กองทัพออตโตมันเพื่อสบทบกับกองทัพของจักรพรรดิเลโอโปลด์ที่ 1 ทันที

กษัตริย์จอห์นที่ 3 โซเบียสกี
กษัตริย์จอห์นที่ 3 โซเบียสกี (ภาพจาก Wikimedia Commons)

การจู่โจมอันรุนแรงจากกองทัพม้าหนักทำให้พวกเติร์กถอยไปรวมกับค่ายหลักบริเวณแนวสนามเพลาะ ฝ่ายออตโตมันจึงเทกำลังทั้งหมดเข้าปะทะกับฝ่ายสันนิบาตศักดิ์สิทธิ์และทัพม้าหนักโปแลนด์-ลิทัวเนียอย่างสุดกำลัง กษัตริย์จอห์นที่ 3 โซเบียสกี ทรงบัญชาทัพม้าทั้ง 18,000 นายของพระองค์ ซึ่งมีหน่วยวิหคฮุสซาร์ถึง 3,000 นาย เป็นแนวหน้าบุกทะลวงกองทัพออตโตมันอีกคำรบ

ผลลัพธ์คือพันธมิตรชาวคริสต์ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ทหารเติร์กที่ส่วนใหญ่เป็นทหารราบไม่อาจต้านทานกองทัพม้าจำนวนมหาศาลนี้ได้จึงแตกพ่ายอย่างยับเยินในที่สุด กระโจมสีแดงของคารา มุสตาฟา ปาชา ถูกฉีกทึ้ง เขาหลบหนีออกมาได้ในขณะที่ทหารหลายพันคนถูกสังหารไม่ก็กลายเป็นเชลย มีบันทึกว่ากองทัพของฝ่ายสันนิบาตศักดิ์ศักดิ์ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ตามเก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่พวกเติร์กทิ้งไว้

นี่คือ “จุดจบ” ของการคุกคามยุโรปที่ดำเนินมายาวนานหลายร้อยปีของจักรวรรดิออตโตมัน

สงครามครั้งนี้เป็นหนึ่งในการใช้ทหารม้าเข้าร่วมสมรภูมิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และกลายเป็นแรงบันดาลของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน (J. R. R. Tolkien) นักประพันธ์นวนิยายแฟนตาซีใช้เล่าถึงศึกที่ดุเดือดและตราตรึงใจที่สุดศึกหนึ่งของวรรณกรรมเรื่อง เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ (The Lord of the Rings) นั่นคือ “สมรภูมิทุ่งเพเลนนอร์” ตอนทหารม้าโรเฮียร์ริมแห่งโรฮันทะยานเข้าใส่กองทัพออร์คแห่งมอร์ดอร์ที่กำลังปิดล้อม “นครมิมินัสทิริธ” อยู่นั่นเอง

มรดกสงคราม

กองทัพของสันนิบาติศักดิ์สิทธิ์ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในการทำลายฝ่ายเติร์ก ชัยชนะนี้สร้างชื่อเสียงให้หน่วยวิหคฮุสซาร์อย่างมาก กษัตริย์จอห์นที่ 3 โซเบียสกี ถูกขนานนามในหมู่ชาวเติร์กว่า “ราชสีห์แห่งเลชิสทัน” (Lion of Lechistan) (“Lechistan” คือชื่อทางวัฒนธรรม ดินแดน ภาษา ต้นกำเนิดความเป็นโปแลนด์) และกษัตริย์โปแลนด์องค์ถัด ๆ มายังได้รับตำแหน่ง “ผู้พิทักษ์แห่งศรัทธา” (Defender of the Faith) จากสมเด็จพระสันตะปาปาด้วย

สำหรับ คารา มุสตาฟา ปาชา เขาถูกสุลต่านเมห์เมดที่ 4 มีบัญชาให้ประหารชีวิตระหว่างถอยทัพ ความพ่ายแพ้ในยุทธการกรุงเวียนนาสั่นสะเทือนจักรวรรดิออตโตมันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นอกจากจะทำให้จักรวรรดิหยุดขยายตัวเพราะล้มเลิกการรุกรานยุโรปแล้ว ชาวเติร์กยังเริ่มเสียดินแดนต่าง ๆ ที่เคยพิชิตได้คืนแก่ผู้ปกครองหรือรัฐดั้งเดิม

ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1686 ประมุขของออสเตรียประสบความสำเร็จในการขับไล่พวกเติร์กที่ครอบครองกรุงบูดา นครหลวงของฮังการีอยู่กว่า 150 ปี และ 11 ปีต่อมา เจ้าชายยูจีนแห่งซาวอยได้ทำลายกองทัพออตโตมันที่เมืองเซนตา (Senta) ตอนเหนือของเซอร์เบีย ทำให้พวกเติร์กจึงถูกบีบให้ถอนตัวออกจากฮังการีและคาบสมุทรบอลข่านไปในที่สุด

เป็นอันว่าอิทธิพลที่เคยข่มขวัญชาติคริสเตียนในยุโรปของชาวเติร์กได้เสื่อมสลายลงไปจนถูกผลักดันให้ถอยกลับคืนสู่ดินแดนดั้งเดิมและก้าวสู่ยุคตกต่ำในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 กระทั่งจักรวรรดิออตโตมันถูกขนานนามว่า “คนป่วยแห่งยุโรป” (The Sick Man of Europe)

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


อ้างอิง :

สัญชัย สุวังบุตร; อนันต์ชัย เลาหะพันธุ, ศาตราจารย์เกียรติคุณ. (2562). ทรรปณะประวัติศาสตร์ยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 19. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : แสงดาว.

https://www.historytoday.com/archive/1683-siege-vienna

https://www.britannica.com/event/Siege-of-Vienna-1683

https://www.visitingvienna.com/culture/the-1683-siege-of-vienna/


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 26 กันยายน 2566