รัฐบาลจอมพล ถนอม ลอกคราบเผด็จการ หวังเป็นประชาธิปไตย แต่ปรับตัวไม่ได้!?

จอมถนอม กิตติขจร ขณะเยือน เนเธอแลนด์
นายกรัฐมนตรี จอมถนอม กิตติขจร ขณะเยือนเนเธอแลนด์ เมื่อ ค.ศ. 1968 (พ.ศ. 2511) (ภาพจาก Dutch National Archives)

หลังจาก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงแก่อสัญกรรมในเก้าอี้นายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2506 จอมพลถนอม กิตติขจร ก็สวมรอยเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากนั้นในฐานะทายาททางการเมือง จอมพลถนอมได้ใช้อำนาจเผด็จการปกครองไม่ต่างจากจอมพลสฤษดิ์ โดยยังใช้ ม.17 ที่คงอาญาสิทธิ์ไว้ที่ตัวนายกรัฐมนตรี

ทว่าในเชิงบารมีหรืออุปนิสัยของจอมพลถนอมนั้นมีความต่างกับจอมพลสฤษดิ์มาก ทำให้ในเชิงอำนาจของจอมพลถนอมไม่แข็งแรงเท่าจอมพลสฤษดิ์ ประกอบกับการอยู่ในระบอบเผด็จการที่ยาวนานนับตั้งแต่สมัย พ.ศ. 2501 และการร่างรัฐธรรมนูญที่ใช้เวลานับ 10 ปี เป็นเวลาที่ยืดยาวมากที่จะทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความชอบธรรมในการปกครองของรัฐบาลจอมพลถนอม

ในที่สุดเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2511 จอมพลถนอมก็ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และให้มีการเลือกตั้งตามรูปแบบประชาธิปไตย หลังจากอยู่ภายใต้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนี้เอง สหรัฐอเมริกายังคงต้องการให้รัฐบาลชุดเก่าได้บริหารประเทศ เพื่อความง่ายดายในการครอบงำการเมืองไทยต่อไป และต้องการให้รัฐบาลชุดเดิมชนะเลือกตั้งใน พ.ศ. 2512 ทุกระดับ [1]

โดยสหรัฐฯ จะได้ผลประโยชน์ในการแทรกแซงการเมืองไทยเพื่อการปราบปรามอิทธิพลคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฝ่ายจอมพลถนอมก็จะได้การช่วยเหลือทางการเงินและอำนาจของตนเอง นับเป็นที่สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์ 

การเลือกตั้งเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 บรรยากาศการเมืองมีความคึกคักมาก มีผู้สมัคร ส.ส. ถึง 1,522 คน ผลการเลือกตั้งก็เป็นไปตามที่วางแผนไว้ คือ พรรคสหประชาไทย ที่มีจอมพลถนอมเป็นหัวหน้าพรรคได้ ส.ส. 76 คน เป็นอันดับหนึ่ง และจัดตั้งรัฐบาลได้ตามความต้องการของทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม การตั้งรัฐบาลตามรูปแบบประชาธิปไตยของจอมพลถนอมไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นนัก เกิดปัญหาภายในกับการปรับตัวให้เข้ากับสภาพประชาธิปไตย แม้ว่าการเลือกตั้งนี้จะไม่เปลี่ยนโครงสร้างฝ่ายบริหารมากนัก โดยที่ทหารยังคงบทบาทสำคัญในเชิงบริหารอยู่ แต่ในบริบทประชาธิปไตยการบริหารต้องถูกถ่วงดุลด้วยรัฐสภา โดยเฉพาะ ส.ส. ที่ทำงานถ่วงดุลอย่างขยันขันแข็ง จนรัฐบาลถนอมที่เคยชินกับโครงสร้างแบบเผด็จการยากที่จะปรับตัวได้

ด้วยบรรยากาศที่เสรีขึ้นหลังจากโดนเผด็จการทหารกดทับมานับ 10 ปี พรรคแนวสังคมนิยมก็ได้กลับมามีพื้นที่ทางการเมืองมาก รัฐสภาได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลจอมพลถนอม และลามไปถึงอำนาจที่ล้นฟ้าของกองทัพก็โดนรัฐสภาท้าทายอำนาจ แม้แต่ตัวจอมพลถนอมเองก็ถูก ส.ส. โจมตีอย่างหนัก 

ในด้านปัจจัยภายนอก พ.ศ. 2512/ค.ศ. 1969 เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพิ่งได้รับตำแหน่งในต้นปีเดียวกัน เริ่มดำเนินนโยบาย Vietnamization หรือการปล่อยให้เวียดนามจัดการปัญหาภายในกันเอง โดยที่สหรัฐฯ จะดำเนินการถอนตัวออกจากสงครามเวียดนาม

แม้ว่านิกสันต้องการจะถอนกองทหารออกจากเวียดนามใต้ แต่นิกสันก็ไม่ต้องการที่จะให้เวียดนามใต้เป็นคอมมิวนิสต์ จึงได้มีการเจรจาสงบศึกกับเวียดนามเหนือ แต่การเจรจาก็ไม่เป็นผลสำเร็จ หากสหรัฐฯ ต้องถอนตัวออกไปโดยที่เวียดนามใต้ไม่ยอมรับเงื่อนไข ก็เท่ากับว่าการถอนตัวของสหรัฐฯ คือการยอมแพ้สงครามอย่างเต็มตัว นิกสันจึงจำเป็นจะต้องบีบให้เวียดนามเหนือยอมรับเงื่อนไขของสหรัฐฯ โดยการทิ้งระเบิดในลาวและกัมพูชาอย่างหนัก [2]

ในช่วงนี้เองฐานทัพสหรัฐฯ ในไทยจึงถูกใช้งานอย่างหนักเช่นกัน แต่ว่าการดำเนินการนี้ของสหรัฐฯ ก็ไม่ได้ส่งผลให้เวียดนามเหนือยอมรับข้อเจรจา

เมื่อการทิ้งระเบิดอย่างหนักไม่เป็นผล สหรัฐฯ จึงจำเป็นต้องหาทางออกอื่น โดยสหรัฐฯ เลือกหันมาปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับสาธารณรัฐประชาชนจีน แม้ว่าจะเป็นศัตรูเก่าของสหรัฐฯ แต่ในขณะนั้นสาธารณรัฐประชาชนจีนมีความขัดแย้งกับสหภาพโซเวียตเช่นเดียวกับสหรัฐฯ เป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบ “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” 

การปรับความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนของสหรัฐฯ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อกลุ่มประเทศใต้การครอบงำของสหรัฐฯ มาก เพราะเดิมทีสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นศัตรูกับกลุ่มประเทศเหล่านี้มาตลอด รวมไปถึงไทยที่สร้างให้สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นศัตรูผู้สนับสนุนคอมมิวนิสต์มาตลอดตั้งแต่สมัยจอมพล ป. (ครั้งที่ 2) ประเทศเหล่านี้จำเป็นต้องเปลี่ยนท่าทีต่อสาธารณรัฐประชาชนจีนตามสหรัฐฯ ส.ส. ฝ่ายซ้ายก็ได้เรียกร้องให้รัฐบาลรับรองสาธารณรัฐประชาชนสาธารณรัฐประชาชนจีนในที่นั่งสหประชาชาติ และต้องการให้สหรัฐฯ ถอนฐานทัพออกจากประเทศไทย

นอกจากนี้ ในบรรยากาศประชาธิปไตยได้ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนิสิตนักศึกษา โดยได้ก่อตั้งศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 ขบวนการนักศึกษามีบทบาทในการเคลื่อนไหวทางการเมืองมาก ทั้งในการวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นเผด็จการของรัฐบาลและกองทัพที่มีอำนาจล้นฟ้า 

รัฐบาลจอมพลถนอมไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับระบอบประชาธิปไตยได้ ภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร รัฐบาลทหารมีอำนาจเต็มโดยไม่มีผู้ใดท้าทายอำนาจ ไม่มีกลไกตรวจสอบถ่วงดุล การบริหารจึงมีความรวดเร็วมาก แต่เมื่อเข้าสู่ระบบรัฐสภา จอมพลถนอมต้องประสบกับความล่าช้า เนื่องจาก ส.ส. รัฐบาลต้องการให้เพิ่มงบประมาณในการพัฒนาท้องถิ่นปี พ.ศ. 2515 เป็น 2 เท่าจากเดิม

การพิจารณางบประมาณที่ยังไม่เสร็จอาจทำให้เกิดความล่าช้า ประกอบกับความวุ่นวายในรัฐสภา และการเคลื่อนไหวทางการเมืองในบรรยากาศประชาธิปไตยก็เป็นเรื่องที่จอมพลถนอมควบคุมไม่ได้ ทำให้จอมพลถนอมตัดสินใจรัฐประหารตัวเองในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 และประกาศกฎอัยการศึก โดยมีข้ออ้างการทำรัฐประหารว่า

“ได้มีบุคคลบางจำพวกอาศัยสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ยุยงบ่อนทำลาย ใช้อิทธิพล ทั้งภายในและภายนอกสภานิติบัญญัติ ก่อกวนการบริหารราชการของรัฐบาล ให้ดำเนินไปด้วยความยากลำบากและล่าช้า ไม่ทันต่อเหตุการณ์…แทนที่ทุกฝ่ายจะร่วมกันสามัคคีกันเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อป้องกันภยันตราย แต่บุคคลบางกลุ่มบางคณะกลับฉวยโอกาสทำการก่อกวน ขัดขวาง ให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขโดยสะดวก เช่น ยุยงให้ประชาชนและสถาบันต่าง ๆ เป็นปฏิปักษ์และกระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาลให้นักศึกษาเดินขบวน ให้กรรมกรหยุดงาน…เป็นเหตุถ่วงการบริหารราชการ…

การแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว ถ้าจะดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ ย่อมไม่ทันต่อเหตุการณ์ จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการยึดอำนาจการปกครอง เพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้โดยเฉียบขาดและฉับพลัน” [3]

ในข้ออ้างการรัฐประหารยังเชื่อมโยงกับสถานการณ์ภายนอก ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องการปรับปรุงความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนของสหรัฐฯ เหตุการณ์นี้ได้สร้างความระส่ำระส่ายให้กับรัฐบาลทหารไทย ซึ่ง ส.ส. ส่วนหนึ่งก็เร่งรัดให้รัฐบาลไทยรับรองให้สาธารณรัฐประชาชนจีนมีที่นั่งในสหประชาติ ทำให้รัฐบาลก็ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงในดุลอำนาจใหม่ของโลกอย่างกะทันหัน

กล่าวได้ว่า รัฐบาลจอมพลถนอมที่มาจากการเลือกตั้ง .ศ. 2512 ล้มเหลวจากการปรับตัวเข้ากับทั้งสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอก รัฐบาลจอมพลถนอมเดิมทีเป็นเผด็จการทหารมานานหลายปี เมื่อต้องเข้ามาทำงานแบบประชาธิปไตยที่มีกลไกตรวจสอบถ่วงดุลด้วยสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้ง มีพรรคฝ่ายค้าน ทำให้จอมพลถนอมไม่คุ้นชินกับการบริหารแบบรัฐสภา และในสถานการณ์ภายนอกประเด็นสาธารณรัฐประชาชนจีน จอมพลถนอมก็ต้องเปลี่ยนจีนจากศัตรูอันดับต้นมาเป็นมิตร นับเป็นความผันผวนทั้งภายในและภายนอก

จอมพลถนอม กิตติขจร จึงตัดสินใจรัฐประหารตัวเอง และกลับมาปกครองแบบเผด็จการในที่สุด ซึ่งการรัฐประหารนี้ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ต่อจากนี้

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เชิงอรรถ :

[1] กุลดา เกษบุญชู มี้ด, “การเมืองไทยในยุคสฤษดิ์-ถนอม ภายใต้โครงสร้างอำนาจโลก,” (ม.ป.ท.: รายงานการวิจัย, 2550), น. 160.

[2] พวงทอง ภวัครพันธุ์, การต่างประเทศไทยในยุคสงครามเย็น, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยลัย, 2564), น. 135.

[3] ประกาศของคณะปฏิวัติ, ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 88 ตอนที่ 124 (18 พฤศจิกายน 2514): . 14. 

อ้างอิง :

กุลดา เกษบุญชู มี้ด. “การเมืองไทยในยุคสฤษดิ์-ถนอม ภายใต้โครงสร้างอำนาจโลก.” ม.ป.ท.: รายงานการ วิจัย, 2550.

คริส เบเคอร์, และ ผาสุก พงษ์จิตร. ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย. กรุงเทพฯ: มติชน, 2557.

ประกาศของคณะปฏิวัติ. ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 88 ตอนที่ 124. 18 พฤศจิกายน 2514.

พวงทอง ภวัครพันธุ์. การต่างประเทศไทยในยุคสงครามเย็น. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยลัย, 2564.

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. เมื่ออรุณจะรุ่งฟ้า: ขบวนการนักศึกษาไทย พ.ศ. 2513-2519. กรุงเทพฯ: อิลลูมิเน ชันส์ เอดิชันส์, 2564. 


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 12 พฤษภาคม 2565