ผู้เขียน | ปิยนันท์ จำปีพันธ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ขึ้นมามีบทบาททางการเมืองมาตั้งแต่หลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 และได้มาเป็นตัวแสดงหลักทางการเมืองไทยนับแต่นั้น โดยเขาได้รัฐประหารล้มรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มีข้อครหาในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2500 ว่าเป็นการเลือกตั้งสกปรก ในที่สุดวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ก็ได้รัฐประหารล้มรัฐบาลจอมพล ป. ทำให้จอมพล ป. ต้องลี้ภัยไปญี่ปุ่น ทางด้าน พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ เพื่อนรักเพื่อนร้ายของจอมพลสฤษดิ์ก็ลี้ภัยไปสวิตเซอร์แลนด์
หลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์มีภาพลักษณ์เป็นวีรบุรุษที่จะนำประชาธิปไตยมาให้กับประชาชน หลังจากผ่านยุคสมัยที่ยาวนานและการโกงเลือกตั้งของจอมพล ป. มา ทั้งยังไม่รับอำนาจไว้เอง โดยแต่งตั้งให้นายพจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรี สาเหตุที่จอมพลสฤษดิ์ไม่รับตำแหน่งเอง อิทธิเดช พระเพ็ชร มองว่ามาจากเหตุผลสำคัญ 2 ประการ คือ 1. จอมพลสฤษดิ์ มีภาพลักษณ์เป็นทหารผู้ขับไล่เผด็จการทหาร หากเข้าไปรับตำแหน่งเองอาจเกิดข้อครหา 2. รัฐบาลพลเรือนจะสามารถได้รับการยอมรับจากนานาชาติมากกว่ารัฐบาลทหารด้วยภาพลักษณ์ของประชาธิปไตย
อีกปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้จอมพลสฤษดิ์ไม่ได้รับตำแหน่งนายกฯ ด้วยตนเอง น่าจะเป็นเพราะปัญหาสุขภาพ ซึ่งเขามีปัญหาเกี่ยวกับตับและม้ามทำให้อาจเป็นปัญหาในการทำงานบางอย่างได้ แต่ในข้อเท็จจริงแล้วการรัฐประหาร พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ผลักดันให้กองทัพเข้ามาเป็น “หุ้นส่วนใหญ่ทางอำนาจ” และมีบทบาทในการจัดสรรอำนาจให้กับกลุ่มการเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มข้าราชการและทหาร จอมพลสฤษดิ์พยายามเข้าสู่วงการการเมืองที่ชอบธรรม โดยมีการตั้งพรรคชาติสังคม (National Socialist Party) ซึ่งเป็นการรวมสมาชิกพรรคสหภูมิและพรรคเสรีมนังคศิลา (พรรคเก่าของจอมพล ป.) ทว่าสมาชิกจากทั้งสองพรรคกลับไม่ลงรอยกันนัก เพราะพรรคมนังคศิลาเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับจอมพล ป.
หลังการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2500 นายพจน์สารสินพ้นจากตำแหน่งนายกฯ จอมพลถนอม กิตติขจร ได้ขึ้นมาเป็นนายกฯ ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2501 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งภายในพรรคชาติสังคม และอาการป่วยของจอมพลสฤษดิ์ยังหนักอยู่ จนต้องไปรับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลวอลเตอร์ รีด (Walter Reed) ในสหรัฐฯ ดังนั้น ในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2501 สิ่งที่จอมพลถนอมต้องพบเจอหลังจากการไปรักษาตัวของจอมพลสฤษดิ์ คือ รัฐบาลที่มีความอ่อนแอจากทั้งความขัดแย้งภายในพรรค โดยมีการลาออกของรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และการลาออกของสมาชิกพรรคสหภูมิ 26 คน ส่งผลให้การออกเสียงในสภาฯ มีปัญหา ทั้งยังโดนโจมตีจากฝ่ายค้านอีก
แม้ว่าจอมพลสฤษดิ์จะมีอำนาจในกองทัพมากจนสามารถขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองได้ในฐานะหุ้นส่วนทางอำนาจใหญ่ แต่ภายในกองทัพเองก็ไม่ได้เป็นเอกภาพมากนัก จากความอ่อนแอของรัฐบาลจอมพลถนอมและอาการป่วยของจอมพลสฤษดิ์ จนทำให้เกิดข่าวลือว่าคนในกองทัพจะก่อรัฐประหารอยู่บ่อยครั้งจากทหารหลายกลุ่ม
กลุ่ม พล.ท. ประภาส จารุสเถียร
กลุ่มที่จอมพลสฤษดิ์หวาดระแวงมากที่สุดคือ พล.ท. ประภาส จารุเสถียร ขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หลังจากจอมพลสฤษดิ์เดินทางไปรักษาตัวที่สหรัฐฯ พล.ท. ประภาส ก็มีอำนาจมากขึ้นท่ามกลางความสั่นคลอนของรัฐบาลจอมพลถนอม ซีไอเอ. ยังวิเคราะห์ว่า จอมพลสฤษดิ์มีความกังวลเกี่ยวกับข่าวลือการรัฐประหารท่ามกลางความแตกแยกของรัฐบาลจอมพลถนอมและกองทัพ เช่น ฝ่ายค้าน, ผู้ที่สับสนุนจอมพล ป., นายทหารชั้นผู้ใหญ่อื่น ๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล แต่กลุ่มคนเหล่านี้ไม่เข้มแข็งพอที่จะก่อการรัฐประหารได้ด้วยตัวเอง พวกเขาจะต้องร่วมกับกลุ่ม พล.ท. ประภาส
หากพิจารณาการรวมกลุ่มของฝ่ายค้านและกลุ่ม พล.ท. ประภาส (หากเป็นจริง) จะไม่เพียงเป็นการบรรลุความต้องการของฝ่ายต่อต้านจอมพลสฤษดิ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มอำนาจทางกองทัพและการเมืองให้กับ พล.ท. ประภาส ด้วย จากข่าวลือที่หนาหูดังกล่าวทำให้จอมพลสฤษดิ์เดินทางกลับไทยในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2501 และเรียกจอมพลประภาสเข้าพบทันที
จากความไร้เสถียรภาพของรัฐบาลจอมพลถนอม จอมพลสฤษดิ์จึงทำการรัฐประหารที่เรียกว่าปฏิวัติ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 และพาไทยเข้าสู่ระบอบเผด็จการอย่างชัดเจน แม้ว่าหลังการรัฐประหารครั้งนี้จอมพลสฤษดิ์จะสามารถรวมอำนาจได้มากขึ้น มีการลดบทบาท พล.ท. ประภาส ลงได้ แต่กระแสข่าวรัฐประหารก็ยังไม่หมดไป
กลุ่ม พล.ต. กฤษณ์ สีวะรา
ในช่วง พ.ศ. 2502 ทหารหลายกลุ่มเริ่มไม่พอใจการปกครองของจอมพลสฤษดิ์ ที่ตัดงบประมาณกระทรวงกลาโหม เพื่อไปเพิ่มงบให้กับหน่วยงานพลเรือนในการทำแผนพัฒนาต่าง ๆ โดยกลุ่มหนึ่งที่มีข่าวว่าอาจมีท่าทีที่จะรัฐประหารจอมพลสฤษดิ์คือ พล.ต. กฤษณ์ สีวะรา ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 ผู้คุมกำลังหลักในกรุงเทพฯ พล.ต. กฤษณ์ ได้แจ้งกับทูตทหารของสหรัฐฯ ในกรุงเทพว่า “สถานการณ์ทางการเมืองย่ำแย่ลงตั้งแต่ต้นสิงหาคม สมาชิกภายในกองทัพบางคนกำลังปรึกษากันอย่างจริงจังเกี่ยวกับการยับยั้งจอมพลสฤษดิ์ พล.ต. กฤษณ์ บอกว่าจะทำการ ‘บางอย่าง’ ใน ‘อนาคตอันใกล้’ เพื่อพาประเทศไทยจาก ‘การปฏิบัติการของจอมพลสฤษดิ์'” ซึ่งมีการคาดกันว่าหากเกิดรัฐประหารล้มรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ก็มีความเป็นไปได้ว่ากลุ่มทหารอาจนำจอมพล ป. กลับมาปกครอง
จอมพลสฤษดิ์ไม่ไว้วางใจ พล.ต. กฤษณ์ นัก เพราะมีข้อมูลบางกระแสว่า พล.ต. กฤษณ์ มีความโน้มเอียงไปทาง พล.ต.อ. เผ่า มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าการที่ พล.ต. กฤษณ์ ดำรงตำแหน่งนี้ เป็นเพราะจอมพลสฤษดิ์เองต้องการจัดให้ พล.ต. กฤษณ์ อยู่ในฐานะที่ถูกจอมพลสฤษดิ์ควบคุมได้ เพื่อป้องกันการรัฐประหาร หลังจากเหตุการณ์เริ่มคลี่คลายลง พล.ต. กฤษณ์ ก็ได้ถูกแต่งตั้งและเลื่อนยศให้เป็นให้เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ประจำภาคอีสาน ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ปัญหาและการจัดสรรอำนาจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อการสร้างความพอใจและความไว้วางใจ เพื่อรักษาฐานอำนาจหลักของตัวจอมพลสฤษดิ์เอง
นอกจากนี้ยังมีแผนการรัฐประหารอื่น ๆ อีก เช่น แผนการของหลวงวิจิตรวาทการ, พล.อ.อ. บุญชู จันทรุเษกษา, พล.อ.อ. เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร, สงวน จันทรสาขา, พงษ์สวัสดิ์ สุริโยทัย, นายสุนทร หงส์ลดารมย์ และถนัด คอมันตร์ ในช่วงก่อนการรัฐประหาร เดือนตุลาคม พ.ศ. 2501
ข่าวลือและแผนการรัฐประหารเหล่านี้เป็นสิ่งสะท้อนความมีอำนาจมากของกองทัพในช่วง พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา แต่อำนาจที่มีมากก็แลกมากับความแตกแยกจากการแย่งชิงอำนาจภายในกองทัพ ซึ่งจะส่งผลต่ออำนาจในการปกครอง แม้จะมีข่าวลือมากมาย สุดท้ายรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ก็มีความแข็งแกร่งและดำรงฐานะอย่างมั่นคงจนกระทั่งจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่กรรมในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506
การที่รัฐบาลนี้มีอายุเกือบ 5 ปี ท่ามกลางกระแสการรัฐประหารและการแย่งชิงอำนาจในกองทัพมากมาย ยังชี้ให้เห็นถึงความสามารถของจอมพลสฤษดิ์ในการแก้ปัญหาการแย่งชิงอำนาจในกองทัพ เช่น มีการเก็บ พล.ต. กฤษณ์ ไว้ในสายตายเพื่อควบคุม เช่นเดียวกับ พล.ท. ประภาส ที่แม้ว่าจะโดนลดอำนาจไปบ้าง แต่ทั้งสองรายก็ไม่ได้ตัดหางให้หมดอนาคต
ภายหลังจากยุคจอมพลสฤษดิ์ ทั้ง พล.ท. ประภาส (ภายหลังได้ยศจอมพล) และ พล.ต. กฤษณ์ (ภายหลังได้ยศพลเอก) จะมีบทบาทมาเป็นตัวแสดงหลักทางการเมืองไทย โดยจอมพลประภาสจะมีบทบาทมากช่วงก่อน 14 ตุลาฯ และ พล.อ.กฤษณ์ จะมีบทบาทมากหลัง 14 ตุลาฯ
อ่านเพิ่มเติม :
- เปรียบสฤษดิ์ เป็น “ลิง-ไอ้ลิงบ้ากาม” กับภาพล้อ “อ้ายหน้าลิงกำลังฆ่าประชาธิปไตย”
- วาทะ “เผ่า ศรียานนท์” เล่า จอมพล ป. “ท่านคิดกลับบ้านเสมอแหละ” หลังถูกสฤษดิ์ยึดอำนาจ
- เพื่อนรัก หักเหลี่ยมโหด ฉบับ “สฤษดิ์-เผ่า” กับควันหลงวาทะ “ทำไมมึงทำกับกู..พูดกันดีๆ ก็ได้”
อ้างอิง :
CIA. Freedom of Information act. Central Intelligence bulletin. “Thai Political Situation.” CIA- RDP79T00975A003800050001-4. June 25, 1958.
CIA. Freedom of Information act. Central Intelligence bulletin. “Discontent Reported Increasing ruling Thai Military Group.,” C02989917. August 31, 1959.
กุลดา เกษบุญชู มี้ด. “การเมืองไทยในยุคสฤษดิ์-ถนอม ภายใต้โครงสร้างอำนาจโลก.” ม.ป.ท.: รายงานการ วิจัย, 2550.
ทักษ์ เฉลิมเตียรณ. การเมืองพ่อขุนอุปถัมป์แบบเผด็จการ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: มูลนิธิตำราสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์, 2561.
พระเพชร อิทธิเดช. “ปฏิมากรรมน้ำแข็ง: จาก “ขวัญใจ” สู่ “ตัวร้าย” ภาพสัญลักษณ์ทางการเมืองของจอม พล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อนการปฏิวัติ 20 ตุลาฯ.” ศิลปวัฒนธรรม ที่ 43. ฉบับที่ 1. พฤศจิกายน , 2564.
อาสา คำภา. “ความเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายชนชั้นนำไทย.” วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต. สาขาวิชา ประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียใหม่, 2562.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 28 เมษายน 2565