ตามรอย “สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร” จากกรุงศรีอยุธยา ถึงกรุงอังวะ

สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ชาวโยเดีย วัดเจาตอจี เมืองอมรปุระ
จิตรกรรมแสดงถึงชาวโยเดีย ที่วัดเจาตอจี เมืองอมรปุระ

ตามรอย “สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร” พระราชโอรส สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จากกรุงศรีอยุธยา ถึงกรุงอังวะ คราวเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2

เหตุการณ์ช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2310 อยู่ในความสนใจของนักวิชาการ และบุคคลทั่วไปจำนวนมาก  ดังจะเห็นได้จาก บทความ, สารคดี, ภาพยนตร์ ฯลฯ โดยเฉพาะวีรกรรมต่างๆ เกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ไม่ว่าจะเป็นการตีฝ่าวงล้อม, การวางแผนการเดินทัพไปรวบรวมกำลังไพร่พลที่จันทบุรี, การปราบปรามกลุ่มก๊กต่างๆ ฯลฯ

เรื่องราวของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ “ฮึดสู้” จนกลับมาได้รับชัยชนะ และได้เอกราชคืน กลายเป็นภาพจำของคนส่วนใหญ่ จนดูเหมือนเราจะลืมไปว่าก่อนหน้านั้นเราแพ้ และต้องเป็นเชลย

Advertisement

คนไทยที่ต้องไปพม่าในครั้งนั้นมีตั้งแต่ ชาวบ้านทั่วไป, แม่ทัพนายกอง, ขุนนางข้าราชสำนัก เจ้านายชั้นสูง ฯลฯ

รศ. ดร. ศานติ ภักดีคำ ภาคีสมาชิกสำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสภา ทำงานวิชาการเรื่องนี้อย่างจริงจังค้นคว้าเอกสารชั้นต้น และชั้นรองหลายสิบรายการ รวมถึงการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลเขียนบทความชื่อ “ตามรอยสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร หรือ ขุนหลวงหาวัด จากกรุงศรีอยุธยาสู่กรุงอมรปุระ” ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ. 2561

ภาพนี้คือ พระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์อยุธยา (เดิมเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าเป็นภาพสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร) ในสมุดพม่าชื่อ “นั้นเตวั้งรุปซุงประบุท” แปลว่า “เอกสารการบันทึกราชสำนัก พร้อมด้วยภาพเขียน” ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่ British Library กรุงลอนดอน

สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร พระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าอุทุมพร เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กับกรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) ที่ทรงมีพระชะตาพลิกผันยิ่ง

เมื่อเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร (เจ้าฟ้ากุ้ง) ซึ่งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ถูกลงโทษจนทิวงคต (เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าทรงเป็นชู้กับเจ้าฟ้านิ่มและเจ้าฟ้าสังวาลย์) ทำให้ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ว่างลง

พระราชโอรสที่มีอิสริยยศและอยู่ในลำดับที่จะได้ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล มี เจ้าฟ้าเอกทัศน์ (พระเชษฐาร่วมพระราชชนกและพระราชชนนีเดียวกัน) และเจ้าฟ้าอุทุมพร หากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงเลือกสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุทุมพร แทนตำแหน่งที่ว่าง และโปรดให้เจ้าฟ้าเอกทัศน์เสด็จออกไปทรงผนวชที่วัดละมุด ปากจั่น

ต่อมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงพระประชวรหนัก จึงได้ตรัสมอบราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าอุทุมพร กรมพระราชวังบวรสถานมงคล

แต่เรื่องราวไม่ได้เป็นไปโดยง่าย

พระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศที่เกิดจากพระสนม คือ กรมหมื่นสุนทรเทพ, กรมหมื่นเสพภักดี, กรมหมื่นจิตรสุนทร ได้เตรียมการซ่องสุมอาวุธหวังช่วงชิงแผ่นดิน ก่อนที่กรมหมื่นทั้งสามจะถูกจับมาสำเร็จโทษ

พระสถูปที่วัดเยตะพัน (วัดมะเดื่อ) ทางใต้ของเมืองอังวะ ตามหลักฐานในคำบอกเล่าของชาวพม่าว่า สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรซึ่งทรงผนวชได้มาประทับอยู่ที่วัดนี้ เป็นเวลากว่า 16 ปี และได้ทรงสร้างพระพุทธรูปจากไม้มะเดื่อประดิษฐานไว้ภายในพระสถูปนี้

นอกจากนี้ เจ้าฟ้าเอกทัศน์ก็ทรงปรารถนาราชสมบัติเช่นกัน พระองค์เสด็จมาประทับพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ไม่ยอมเสด็จไปประทับที่อื่นๆ แม้ว่าขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร จะเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว สุดท้ายพระองค์ก็ถวายราชสมบัติให้เจ้าฟ้าเอกทัศน์ แล้วเสด็จออกไปทรงผนวช

แต่ก็มี ‘บางส่วน’ ที่ยังไม่ยอมรามือ

ขุนนางผู้ใหญ่และเจ้านายบางส่วนวางแผนจะถอด สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ แล้วหวังจะให้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรกลับมาทรงครองแผ่นดิน  เมื่อสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรทรงทราบข่าวนี้ จึงเสด็จฯ ไปแจ้งข่าวแก่สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์แล้วเสด็จฯ กลับไปยังวัดประดู่ทรงธรรม

ต่อมา อยุธยาทำศึกกับพม่าที่มีพระเจ้าอลองพญาเป็นผู้นำทัพ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรจึงทรงลาสิกขามาช่วยรักษากรุงศรีอยุธยา หากเมื่อเสร็จศึกพม่า สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทรงระแวงสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรจึงเสด็จออกผนวชอีกครั้ง

จน พ.ศ. 2310 ที่เกิดสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระเจ้ามังระปราบปรามหัวเมืองต่างๆ ที่กระด้างกระเดื่องเสร็จสิ้น จึงโปรดให้มังมหานรธาและเนเมียวมหาเสนาบดี เป็นแม่ทัพยกมาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2309 โดยแบ่งเส้นทางเดินทัพเป็น 3 ทาง คือ

  1. ทางเมืองทวาย มีมังมหานรธาเป็นแม่ทัพ คุมกำลังทหาร 15,000 คน
  2. ทางเมืองเชียงใหม่ มีเนเมียวมหาเสนาบดีเป็นแม่ทัพ คุมกำลังทหาร 20,000 คน
  3. ทางด่านเมืองอุทัยธานี มีแมงกิม้าระหญ่าเป็นแม่ทัพ คุมกำลัง 3,000 คน

กองทัพกรุงศรีอยุธยาที่ออกไปรับศึกตามหัวเมืองต่างๆ แพ้กลับมาจนต้องถอยเข้ามายังพระนคร สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์จึงมีดำรัสให้นิมนต์พระราชาคณะจากวัดต่างๆ นอกพระนครให้เข้ามาอยู่ในพระนครเสีย สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรที่ทรงพระผนวชอยู่ที่วัดประดู่ทรงธรรม จึงได้เสด็จฯ เข้ามาประทับ ณ วัดราชประดิษฐาน

เมื่อกองทัพพม่าตีเข้ามาพระนครศรีอยุธยาได้ในวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 จึงเผาทำลายเมืองและกวาดต้อนผู้คนไปยังพม่า สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์สวรรคตระหว่างเสด็จพระราชดำเนินหนีออกจากพระนคร

ส่วนสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรก็ถูกพม่ากวาดต้อนไปยังกรุงอังวะพร้อมกับพระบรมวงศานุวงศ์อื่นๆ ซึ่งมีทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในตั้งแต่ พระอัครมเหสี, พระมเหสี, พระภคินี, พระราชธิดา, พระราชโอรส, พระราชนัดดา ฯลฯ รวมถึงไพร่พลชาวกรุงศรีอยุธยาด้วย

“วัดโยเดีย” เมืองอมรปุระ ซึ่งน่าจะสร้างขึ้นในที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร

สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ประทับอยู่ที่เมืองอังวะประมาณ 16 ปี พ.ศ. 2325 พระเจ้าโบดอพญาปะโดเมง หรือพระเจ้าปดุง แห่งราชวงศ์คองบอง ทรงย้ายราชธานีจากกรุงอังวะ ไปเมืองอมรปุระ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรก็ต้องทรงย้ายไปด้วย และเมืองอมรปุระก็เป็นเมืองที่สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรสวรรคต

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 15 มิถุนายน 2562