คำให้การวิศวกรแห่งความตาย กลุ่มผู้สร้างเตาเผา-ห้องรมแก๊สในค่ายเอาชวิตซ์ให้นาซี

ค่ายเอาชวิตซ์ นาซี
ค่ายกักกันเอาชวิตซ์ (ไม่ปรากฏปีที่ถ่าย)

คำให้การวิศวกรแห่งความตาย กลุ่มผู้สร้างเตาเผา-ห้องรมแก๊ส ใน “ค่ายเอาชวิตซ์” ให้ “นาซีเยอรมัน”

การขึ้นมามีอำนาจของพรรคนาซีในเยอรมนี ช่วง ค.ศ. 1933-1945 ไม่เพียงแค่กำลังทางทหารที่เข้มแข็ง อาชีพ “วิศวกร” ยังเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่พลิกผันเช่นกัน เนื่องมาจากนโยบายชาตินิยมของกองทัพนาซี สิ่งประดิษฐ์ที่สร้างและผลิตในประเทศเกิดขึ้นมากมาย แต่สิ่งที่ส่งผลร้ายต่อชีวิตมนุษย์ที่สุด อาจเป็นการสร้างเตาเผาและห้องรมแก๊ส ซึ่งคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อ ค.ศ. 1933 ชีวิตของเขาเปลี่ยนจากชายหนุ่มที่ผิดหวังจากการสอบเข้าสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งกรุงเวียนนา ซึ่งเป็นสถาบันอันมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก กลายมาเป็นหัวหน้าพรรคนาซี ก่อนจะกุมอำนาจสูงสุดในการปกครอง

กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “ระบอบนาซี” ซึ่งสร้างความยากลำบากให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะกลุ่มชาวยิว

ระหว่าง ค.ศ. 1942 จนถึงการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และการฆ่าตัวตายของฮิตเลอร์ เมื่อ ค.ศ. 1945 ช่วงเวลาระหว่างนั้นมีชาวยิวและประชาชนจากประเทศอื่นอีกจำนวนหนึ่งถูกรมแก๊สและถูกเผาร่างเป็นจำนวนมาก เหตุเกิดในค่ายกักกันของนาซีอย่าง ค่ายเอาชวิตซ์ หรือ ค่ายเอาชวิตซ์-เบียร์เคเนา (Auschwitz-Birkenau)

สถิติที่สำรวจได้เป็นที่รับรู้ว่า ผู้เสียชีวิตในค่ายกักกันของนาซีรวมแล้วแตะหลักล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชาวยิว สาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งคือถูกรมแก๊ส ที่เหลือคือจากสาเหตุอื่น อาทิ ขาดอาหาร, ถูกใช้แรงงานอย่างหนัก, ป่วย ไปจนถึงการถูกสังหารเป็นรายบุคคล และการทดลองยา

ความน่าสยดสยองที่เกิดขึ้น ถูกบอกเล่าจากบันทึกต่างๆ รวมไปถึงปากคำของผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกัน โดยสิ่งประดิษฐ์ที่คร่าชีวิตชาวยิวมากสุดคือ ห้องรมแก๊ส และ เตาเผา เพื่อจัดการศพจำนวนมหาศาล แง่หนึ่งเป็นประดิษฐกรรมที่สะท้อนศักยภาพด้านวิศวกรรม แต่ขณะเดียวกันก็บอกเล่าความน่าหดหู่ของการกระทำต่อเพื่อนมนุษย์

ในยุคนาซีเรืองอำนาจ เป็นยุคที่วิศวกรกลับมามีงานทำ สืบเนื่องจากนโยบายชาตินิยมและการสร้างชาติ กองทัพนาซีมีโครงการพัฒนาโครงสร้างและประดิษฐกรรมมากมาย ซึ่งล้วนต้องอาศัยความรู้และทักษะด้านวิศวกร ในช่วงเวลานั้นมีผลิตภัณฑ์อย่าง รถโฟล์กสวาเกน (Volkswagen) และการก่อสร้างถนนหลวง หรือ ออโตบาห์น (Autobahn) เชื่อมเมืองต่างๆ

สภาพเหล่านี้ทำให้วิศวกรเพิ่มขึ้นจำนวนมาก และผลงานหนึ่งคือการทำให้ “ค่ายเอาชวิตซ์” เป็นทั้งที่กักกันและที่สังหารหมู่ โดยฝีมือของ บริษัท Topf and Sohne ที่ทราบเพราะพบชื่อของบริษัทอยู่ในแบบก่อสร้างที่นาซีทิ้งไว้ หลังกองทัพรัสเซียบุกถึงค่าย

อนุสรณ์ ติปยานนท์ ผู้เขียนหนังสือ “คนหลังฉากในประวัติศาสตร์รางเลือน” อธิบายว่า บริษัทนี้เป็นกลุ่มที่เชี่ยวชาญด้านการเผาทำลายซากสิ่งมีชีวิต ก่อตั้งใน ค.ศ. 1878 ที่เมืองเออร์เฟิร์ต (Erfurt) บริษัทได้รับการติดต่อจากกองทัพ หลังจากบริษัทบริการเครื่องเผาซากแบบเคลื่อนที่ไปบริการ ในช่วงไข้รากสาดระบาดแถบบูเคนวัลด์ (Buchenwald) ซึ่งอยู่ใกล้กับค่ายกักกันชาวยิว

โจทย์ในการสร้างเตาเผาขนาดใหญ่ที่บริษัทได้รับคือ ไม่มีกลิ่นน่ารังเกียจและให้ควันออกมาน้อยที่สุด อนุสรณ์ บรรยายว่า วิศกรที่ออกแบบเตาเผาครั้งนี้คือ เคิร์ต พรูเฟอร์ (Kurt Prufer) และ คาร์ล ชูลซ์ (Karl Schultze)

รายละเอียดการสร้างอุปกรณ์ในอาคารเพื่อสังหารชาวยิว ปรากฏอยู่ในเอกสารที่เป็นคำให้การ ซึ่ง เจอรัลด์ เฟลมมิ่ง (Gerald Fleming) นักประวัติศาสตร์อ้างว่า พบที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติของรัสเซียในแฟ้มเลขที่ 17/9 เป็นเอกสารที่ถูกเก็บหลังรัสเซียบุกเข้ายึดเยอรมนี ใน ค.ศ. 1945 และไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อนหน้าการค้นพบครั้งนี้

รายละเอียดของคำให้การ ได้รับการบอกเล่าในบทความที่เฟลมมิ่งเขียนและเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ปี 1993 เผยรายละเอียดการสร้างเตาเผาว่า เคิร์ต พรูเฟอร์ ยอมรับว่าสร้างเตาเผาในช่วงปี 1941-1942 ส่วนคาร์ล ชูลซ์ วิศวกรอาวุโส เป็นคนออกแบบระบบระบายอากาศในห้องรมแก๊ส

พรูเฟอร์ เล่าว่า เขาไปที่ค่ายกักกัน 5 ครั้ง การเดินทางครั้งแรกในช่วงต้นปี 1943 เขาไปเพื่อรับคำสั่งจากหน่วย SS ว่าจะใช้สถานที่จุดไหนเป็นเตาเผา และเดินทางไปอีก 4 ครั้ง เพื่อรับข้อมูลอื่นเพิ่มเติม เขาออกแบบให้มีทางเชื่อมกันกับห้องรมแก๊สที่อยู่ติดกัน และเขารับรู้ตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปี 1943 ว่า ในค่ายมีการสังหารชาวยิวในห้องรมแก๊ส และนำไปเผาทิ้งที่เตาเผา

พรูเฟอร์ เล่าว่า เช้าวันหนึ่งเวลาประมาณ 10 โมง ในช่วงปี 1943 เมื่อเขาไปที่ค่ายพร้อมคาร์ล ชูลซ์ พรูเฟอร์เห็นศพชายหญิงต่างอายุถูกนำมากองรวมเพื่อรอเผา เขาสังเกตการเผาไป 5 ศพ และได้ข้อสรุปว่าเตาเผาที่ออกแบบนั้นทำงานได้ผลดี

ประดิษฐกรรมในค่ายกักกันสร้างความตื่นตระหนกให้กับบุคลากรกระทรวงยุติธรรม สหรัฐฯ จากข้อมูลที่ว่า เตาเผาใช้ระบบใช้ไขมันจากร่างผู้ตายเป็นเชื้อเพลิงของเตาเผาไปด้วยในเวลาเดียวกัน

อนุสรณ์ บรรยายว่า หลังสงครามจบลง 8 ปี บริษัท Topf and Sohne ได้รับสิทธิบัตรการออกแบบผลงาน โดยเฉพาะเตาเผาที่ทำให้กับกองทัพนาซี ขณะที่สถาปนิกผู้ออกแบบอาคารเตาเผาศพคือ วอลเตอร์ เดจาโก้ (Walter De Jaeko) และ ฟริตช์ เอิตล์ (Fritz Ertl) ถูกปล่อยตัวในปี 1950 และถูกตั้งข้อหาอาชญากรสงครามในปี 1972 ที่กรุงเวียนนา

หลังสงครามจบลง กองทัพสหรัฐฯ ปล่อยตัวพรูเฟอร์ แต่กองทัพรัสเซียจับตัวพรูเฟอร์ไว้ภายหลัง ขณะที่ ลุดวิก ทอฟ (Ludwig Topf) เจ้าของบริษัท ปลิดชีวิตตัวเอง

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

อนุสรณ์ ติปยานนท์. คนหลังฉากในประวัติศาสตร์รางเลือน. กรุงเทพฯ : มติชน, 2557


ปรับปรุงเนื้อหา 11 มีนาคม 2567