ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับสิงหาคม 2548 |
---|---|
ผู้เขียน | ส.พลายน้อย |
เผยแพร่ |
คำว่า งามทั้งห้าไร่ เป็นสำนวนเก่าของไทยอีกสำนวนหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันไม่มีใครพูด แต่ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์คงพูดกันมาก จึงมีใช้ในวรรณคดีหลายเรื่อง เหตุที่ไม่มีใครพูดอาจเพราะไม่เข้าใจความหมายว่า “ห้าไร่” คืออะไรก็เป็นได้ แม้ในปัจจุบันยังหาคำจำกัดความชัดเจนไม่ได้
ในพจนานุกรมอธิบายคำ “งามทั้งห้าไร่” ไว้ว่า “เป็นคำประชด ว่างามเหมือนไพร่”
อยากรู้ว่าไพร่งามอย่างไร ก็ไม่พบคำอธิบาย แต่ตามความรู้สึก คำว่าไพร่คือคนที่มีฐานะต่ำ พลิกดูกฎหมายโบราณพบว่า “ยาจก วณิพก ทาส ลูกทาส นาคนละห้าไร่” แต่ตามความเป็นจริงไม่มีนาสักกระแบมือ กฎหมายตั้งไว้เพื่อสะดวกในการปรับไหมเท่านั้นเอง ถ้ามีนาห้าไร่จริงๆ ก็น่าจะพอกินแบบพอเพียงยิ่งข้าวงามทั้งห้าไร่ด้วยแล้วสบายมาก
ในหนังสือบางเล่มอธิบายว่า ข้าวที่ปลูกในนางามหมดทั้งห้าไร่ แต่เป็นสำนวนอย่างเดียวกับงามหน้า แลความหมายกว้างออกไปว่า งามเต็มที่ไม่ว่าอะไรเสียหมด อ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ สรุปได้ว่าเป็นสำนวนประชด หนักไปในทางกิริยามารยาทหรืออาการแสดงออกเป็นแบบของพวกไพร่
ถ้าพิจารณาจากพฤติกรรมที่มีกล่าวถึงในวรรณคดี น่าจะหมายถึงน่าอับอาย น่าบัดสี ดูลามกอนาจาร อะไรทำนองนั้น เช่น ในเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างเป็นความกับขุนแผน ขุนช้างทำผ้านุ่งหลุดลุ่ยกลางศาล ตุลาการทนไม่ไหวร้องด่าลั่น
“จมื่นศรีร้องด่ามาทันใด
งามทั้งห้าไร่อ้ายตาลาย”
ในเรื่องพระอภัยมณี ตอนนางเสาวคนธ์ได้เสียกับสุดสาครแล้วนางเสาวคนธ์เกิดนึกละอายขึ้นมา จึงแกล้งเรียกนางพี่เลี้ยงมาต่อว่า
“ลงจากแท่นแค้นสี่พระพี่เลี้ยง
เรียกมาเคียงค่อนว่าไม่ปราไส
นั่งอยู่นี่พี่ยามาเมื่อไร
ไม่บอกให้แจ้งจิตแกล้งปิดบัง
เป็นลมจับหลับอยู่ไม่รู้แจ้ง
นี่เนื้อแกล้งจะให้อายเมื่อภายหลัง
ให้นอนเคียงเรียงกันบนบัลลังก์
งามทั้งห้าไร่จะได้ดู”
สำนวน “งามทั้งห้าไร่” ทั้งสองแห่งนี้ ไม่หมายว่าดีว่างามอย่างแน่นอน จะต้องหมายถึงอุจาด ลามก น่าละอาย มากกว่าอย่างอื่น ขุนช้างทำผ้าหลุดลุ่ย เข้าลักษณะเปลือยกาย ส่วนสุดสาครกับนางเสาวคนธ์นั้นเล่าก็คงจะอยู่ในลักษณะเดียวกันคือผ้าผ่อนนุ่งห่มไม่เรียบร้อย จึงพูดประชดว่า “งามทั้งห้าไร่จะได้ดู” คือนางพี่เลี้ยงปล่อยให้ “งามทั้งห้าไร่” เพื่อจะได้ดูเล่นเป็นขวัญตากระมัง
สำนวนนี้เข้าใจว่าจะนิยมใช้ในสมัยรัชกาลที่ 2 เพราะมีปรากฏในเรื่อง “สังข์ศิลปไชย” พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 3 แต่ครั้งยังเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
“นางไกรสรได้ฟังไม่กังขา
หุนหันโมโหโกรธา
ตวาดว่าดูดู๋สังข์ศิลปไชย
ไปคบคิดกับพ่อมาก่อความ
ทีนี้มันงามทั้งห้าไร่”
ตามเรื่องว่าสังข์ศิลปไชยอาสาท้าวเสนากุฎพระราชบิดาไปอ้อนวอนนางประทุมพระมารดาให้กลับเมือง นางไกรสรบาทบริจาริกาอีกนางหนึ่งซึ่งถูกขับไล่ออกมาพร้อมๆ กัน ได้ฟังแล้วไม่พอใจจึงได้ต่อว่าสังข์ศิลปไชยดังกล่าวข้างต้น
คำว่า “งามทั้งห้าไร่” ในกลอนตอนนี้จึงไม่มีอะไรดูน่าเกลียดน่าชังเหมือนในเรื่องขุนช้างขุนแผนและพระอภัยมณี เป็นแต่เพียงไม่พอใจที่สังข์ศิลปไชยทำเจ้าหน้าเจ้าตาไปรับอาสาพระบิดามาอ้อนวอน นางยังโกรธไม่หายจึงได้พูดด้วยความแค้นไปเช่นนั้น พิจารณาตามเรื่องก็ไม่เห็นมีอะไรจะเสียหาย
“งามทั้งห้าไร่” จึงน่าจะมีเบื้องหลังที่มา ซึ่งในปัจจุบันไม่มีใครทราบเรื่องเสียแล้ว และมิใช่เฉพาะในวรรณคดี ภาษาพูดไม่เคยได้ยิน ถ้าผู้รู้ท่านใดทราบก็น่าจะเขียนมาให้อ่านกันบ้าง”