ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
พระเจ้าบุเรงนอง คือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์พม่า โดยหลังจากปราบบ้านเมืองทั้งหลายได้แล้ว บุเรงนองก็สร้าง “เมืองหงสาวดี” ขึ้นใหม่ ให้เป็นศูนย์กลางของพม่า ที่ประกอบด้วยชนชาติใหญ่ๆ อาทิ พม่า มอญ ยะไข่ ฯลฯ ความสามารถในการสู้รบแผ่ขยายอำนาจนี่เอง ทำให้บุเรงนองได้รับฉายา “ผู้ชนะสิบทิศ” แต่ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิกรมศิลปากร วิเคราะห์จากหลักฐานและคติเกี่ยวกับเมือง และได้เสนอข้อสันนิษฐานว่า ที่จริงแล้ว บุเรงนองคือ “ผู้ชนะยี่สิบทิศ” ต่างหาก
พิเศษ ระบุว่า พระเจ้าบุเรงนอง สร้างพุกามประเทศเป็นครั้งที่ 2 ขึ้นที่กรุงหงสาวดี มีความยิ่งใหญ่กว่าพุกามประเทศสมัยแรก เพราะนอกจากสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างชนชาติ พม่า มอญ ไทใหญ่ ยะไข่ ได้แล้ว ยังมีอำนาจเหนือล้านนา ล้านช้าง แม้แต่กัมพูชาก็ยินยอมเข้าสวามิภักดิ์
ดังนั้น เมืองหงสาวดี ของบุเรงนองจึงสร้างขึ้นด้วยสัญลักษณ์ของการเป็นศูนย์กลางจักรวาล ดังที่ ราล์ฟ ฟิตช์ (Ralph Fitch) พ่อค้าชาวอังกฤษที่เคยเห็นเมืองหงสาวดี เมื่อ พ.ศ. 2129 (สมัยพระเจ้านันทบุเรง พระราชโอรสบุเรงนอง) ได้บันทึกไว้ว่า
“…มีเมือง ๒ เมืองๆ เก่าและเมืองใหม่ พ่อค้าต่างถิ่นทั้งปวงนั้นอยู่ในเมืองเก่า ทั้งพ่อค้าของประเทศนั้นก็อยู่กันมาก สินค้าทุกอย่างซื้อขายกันในเมืองเก่า ซึ่งเป็นเมืองใหญ่และมีชานเมืองอยู่โดยรอบ…
…ส่วนพระเจ้าแผ่นดินนั้นประทับอยู่ในเมืองใหม่ รวมทั้งข้าราชบริพารของพระองค์…
…พะโคเป็นเมืองใหญ่ที่มีพลเมืองหนาแน่น ตัวเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กำแพงเมืองงามมากกับมีคูน้ำล้อมรอบกำแพง คูน้ำมีน้ำเต็มฝั่ง ทั้งมีจระเข้อยู่ในคูเป็นอันมาก…”
เมืองที่มีรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่อาจนำมาเปรียบเทียบกับ เมืองหงสาวดี คือ เมืองเชียงใหม่ หนังสือนิราศหริภุญชัย ที่แต่งขึ้นเมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 21 และโคลงเรื่องมัทรารบเชียงใหม่ ที่แต่งบรรยายเมืองเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 2157 กล่าวว่า เมืองเชียงใหม่มีจระเข้อยู่ในคูน้ำด้วย
ฟิตช์ ยังบรรยายเมืองหงสาวดีต่อไปอีกว่า
“…เมืองมีประตูใหญ่ ๒๐ ประตู ทำด้วยหิน กำแพงเมืองแต่ละด้านมีประตู ๕ ประตู มีป้อมปืนหลายป้อม สำหรับให้ทหารยามได้อยู่ยามระวังภัย ป้อมปืนทำด้วยไม้ลงรักปิดทองงามมาก…
…ถนนหนทางสวยที่สุดที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมา ตรงแน่วเหมือนเส้นบรรทัดจากประตูหนึ่งถึงอีกประตูหนึ่ง และกว้างมากขนาดคน ๑๐ หรือ ๑๒ คน สามารถขี่ม้าเรียงหน้ากันผ่านไปได้…
พระราชวังตั้งอยู่กลางเมือง มีกำแพงและคูน้ำล้อมรอบพระราชวัง…”
อย่างที่บอกไปว่า เมืองหงสาวดีที่ฟิตช์กล่าวถึง อยู่ในรัชสมัยพระเจ้านันทบุเรง อาจเป็นไปได้ว่า เป็นลักษณะของเมืองที่มีการปรับปรุงใหม่อีกครั้งในสมัยนั้น ตามที่ตำนานฉบับหอแก้วของพม่ากล่าวไว้ เมืองที่มีประตูเมืองหลายประตู มีความหมายถึงความเป็นศูนย์กลางของอำนาจที่แผ่ขยายออกไปทุกทิศทุกทาง
พิเศษ อธิบายว่า คติเกี่ยวกับเมืองที่เป็นศูนย์กลางของอำนาจที่แผ่ไพศาลเช่นนี้ ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเมืองในอินเดียตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ คือ เมืองทวารวดี แปลว่า เมืองที่มีประตูเป็นกำแพง และชื่อ “ทวารวดี” ก็ถูกนำมาใช้เรียกชื่อเมืองในสยามแต่โบราณ
ชื่อเมืองที่มีความหมายอย่างเดียวกัน แต่ตั้งขึ้นด้วยภาษาพื้นเมือง คือ เมืองร้อยเอ็ดประตู หมายถึงอำนาจศูนย์กลางที่แผ่ขยายออกไปถึงร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ
เมืองหงสาวดีหรือพะโคของพระเจ้าบุเรงนอง ที่เริ่มแรกอาจมี 12 ประตู และปรากฏเป็น 20 ประตู ในสมัยพระเจ้านันทบุเรงนี้มีความหมายอย่างเดียวกัน ซึ่งต่อมาสมัยหลังตำนานของพม่าก็ได้ทำความหมายในเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องจริงขึ้น โดยนำชื่อของเมืองต่างๆ ที่พระเจ้าบุเรงนองมีอำนาจแผ่ไปถึงจริงๆ มาเป็นชื่อของประตูเมืองทั้ง 20 ชื่อ ซึ่งเมืองอยุธยา เชียงใหม่ ล้านช้าง เมาะตะมะ ฯลฯ ได้ปรากฏเป็นชื่อประตูเมืองหงสาวดีด้วย
“พระเจ้าบุเรงนองจึงมิใช่ ‘ผู้ชนะสิบทิศ’ หากแต่ทรงเป็น ‘ผู้ชนะยี่สิบทิศ’ จะถูกกว่า” พิเศษ ระบุ
อ่านเพิ่มเติม :
- เมื่อ “หงสา” ไร้บุเรงนอง บ้านเมืองวิกฤตถึงขั้น “คนกินกันเอง-ฝรั่งตั้งตนเป็นเจ้า”
- ต้นตอกำเนิดใหม่อาณาจักรตองอู ฟื้นฟูอังวะหลังสิ้นหงสาวดี ยืนหยัดไม่แพ้ยุคบุเรงนอง
- ที่มาชื่อเมือง “ร้อยเอ็ด” เมืองสิบเอ็ดประตู หรือเมืองร้อยเอ็ดประตู?
อ้างอิง :
พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. “หงสาวดี : เมืองของผู้ชนะ ๒๐ ทิศ”. นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับกุมภาพันธ์ 2543.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 5 มีนาคม 2567