ความปราชัยของ “เจ้าอนุวงศ์” วิเคราะห์เหตุความพ่ายแพ้ของมหาราชชาติลาว

พระบรมราชอนุสาวรีย์ เจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์ ประเทศลาว
(หน้า) พระบรมราชอนุสาวรีย์ของเจ้าอนุวงศ์ กรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว, โดย Stefan Fussan (หลัง) สภาพอันรกร้างของวัดวาอารามภายในเวียงจันทน์ ภาพลายเส้นวาดโดย เดอ ลาปอร์ท เมื่อปี ค.ศ. 1866 (ภาพาก Wikimedia Commons และ Cornell University Library)

ศึกเจ้าอนุวงศ์”  ระหว่าง พ.ศ. 2369-2371 เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นมากมาย ภายหลังกองทัพฝ่ายเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ มากวาดต้อนประชากรจากหัวเมืองภาคอีสาน และยกกำลังมาถึงสระบุรี แต่มิได้บุกถึงกรุงเทพฯ เพราะตัดสินใจยกทัพกลับพร้อมเก็บทรัพย์และเชลย ฝ่ายไทยทราบข่าวจึงเดินทัพ 5 สายเข้าสู่ภาคอีสาน มีเป้าหมายที่ เวียงจันทน์ และตีกองกำลังตั้งรับของฝ่ายลาวแตกทุกแห่ง “เจ้าอนุวงศ์” ทรงทราบข่าวแล้วเสด็จหนีไปเมืองญวน ฝ่ายกองทัพไทยสามารถยึดเมืองเวียงจันทน์ในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2370

อ่าน “‘ศึกเจ้าอนุวงศ์’ สงครามปลดแอกชาติลาว” (คลิก)

วิเคราะห์สาเหตุความพ่ายแพ้ของ “เจ้าอนุวงศ์”

หลักฐานที่ใช้วิเคราะห์หาสาเหตุความพ่ายแพ้ของ เจ้าอนุวงศ์ มาจากหลักฐานชั้นต้น คือ จดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 ซึ่งบันทึกในขณะเกิดเหตุโดยเฉพาะรายงานของแม่ทัพนายกองขุนนาง บันทึกคำให้การของเชลยที่ไทยจับมาหลายคน ตลอดจน นิราศทัพเวียงจันทน์ ซึ่งหม่อมเจ้าทับทรงนิพนธ์ พระองค์ทรงเป็นทหารของกรมหมื่นเสนีย์บริรักษ์ซึ่งเป็นแม่ทัพหน้าในการรบที่หนองบัวลำภู ทรงเห็นเหตุการณ์รบอันดุเดือดด้วย (นิราศทัพเวียงจันทน์นี้ สำนักพิมพ์มติชนได้ตีพิมพ์เผยแพร่ใน พ.ศ. 2544 เป็นเอกสารชั้นต้นที่สำคัญมาก สำหรับการศึกษา ศึกเจ้าอนุวงศ์)

สาเหตุของความพ่ายแพ้ของเจ้าอนุวงศ์ ตรงตามตำราของซุนวู และเหมาเจ๋อตุงที่กล่าวไว้ว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” แต่เจ้าอนุวงศ์ทรงรู้เฉพาะกำลังฝ่ายตน แต่ทรงไม่รู้กำลังฝ่ายศัตรูคือฝ่ายไทย ประเมินผิดในฝ่ายที่พระองค์ทรงคิดว่าเป็นพันธมิตรของพระองค์ คือ ญวน หลวงพระบาง เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่าน ดังจะวิเคราะห์เป็นข้อ ๆ ดังนี้

1. เจ้าอนุวงศ์ทรงประเมินกำลังฝ่ายไทยผิด คิดว่าแม่ทัพนายกองรุ่นใหม่ ๆ ที่เก่ง ๆ คงจะมีน้อยกว่าแม่ทัพนายกองรุ่นเก่าสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นการประเมินที่ผิด ศึกเจ้าอนุวงศ์ทำให้เห็นแม่ทัพไทยที่เก่งกาจกล้าหาญหลายคน อาทิ กรมหมื่นนเรศโยธี แม่ทัพหน้าบริเวณลุ่มน้ำชีตอนต้น เจ้าพระยาราชสุภาวดี แม่ทัพไทยด้านอีสานกลาง อีสานตะวันออก และพระยาเพชรพิไชย แม่ทัพหน้าลุ่มน้ำป่าสัก

2. เจ้าอนุวงศ์ทรงประเมิน พันธมิตร” ของพระองค์ผิดพลาดไปหมด ทรงคิดว่า “ลาวพุงดำ” อันประกอบไปด้วย เชียง ใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ และน่าน จะเข้าช่วยพระองค์ พระองค์ทรงส่งทูตไปชักชวนลาวพุงดำเหล่านี้ ซึ่งเป็นลาวด้วยกัน ไทยปกครองแบบประเทศราชตั้งแต่ พ.ศ. 2317 ก่อนไทยปกครองล้านช้าง 5 ปี บางเมือง เช่น น่าน มีความสนิทสนมกับเจ้าราชบุตร เหง้าของเจ้าอนุวงศ์มากขนาดดื่มน้ำสาบานเป็นเพื่อนแท้กันมาแล้ว

สำหรับหลวงพระบาง เจ้าอนุวงศ์ก็ส่งทูตไปเกลี้ยกล่อมมาเป็นพวก ถึงแม้จะเคยขัดแย้งกันมาก่อนหน้านั้นหลายครั้งกับ เวียงจันทน์ แต่เจ้าอนุวงศ์ทรงมองหลวงพระบางในแง่บวกคิดว่า คราวนี้เป็นศึกระหว่างลาวกับไทย หลวงพระบางกับเวียงจันทน์ก็เป็นลาวด้วยกัน อย่างไรเสียน่าจะช่วยลาวมากกว่าไปช่วยไทย

เจ้าอนุวงศ์ทรงสนิทสนมกับปลัดจันทา ปลัดน้อยยศ 2 คนนี้เป็นปลัดกองเมืองสระบุรี เป็นลาวพุงดำ ปลัด 2 คนนี้ไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองล้านนาทั้งห้ามาช่วยเวียงจันทน์หลายครั้ง ส่วนเมืองน่านก็มีหนังสือไปบอกให้เมืองแพร่ ลำปาง เชียงใหม่ยกทัพมาช่วยเวียงจันทน์ตีกรุงเทพฯ โดยในหนังสือนั้นบอกว่าให้ยกทัพมาช่วยรัชกาลที่ 3 ซึ่งถูกกรมพระราชวังบวรฯ แย่งชิงอำนาจ แต่ล้านนาก็มิได้ตกหลุมพรางง่าย ๆ เพราะการเป็นกบฏต่อไทยเป็นเรื่องใหญ่มาก ไทยมีประเทศราชมาก ไทยจะเกณฑ์หัวเมืองประเทศราชที่เหลือมาปราบกบฏเหมือนที่กำลังทำต่อเวียงจันทน์ ประเทศราชใดไม่มาช่วยตามคำสั่งของรัฐบาลไทยก็ถือเป็นกบฏไปด้วย

ดังนั้นทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับประเทศราชก็คือ อยู่ฝ่ายไทย แต่ก็อยู่ฝ่ายไทยอย่างฉลาดคือยกทัพไปเวียงจันทน์แต่ไปอย่างช้าที่สุด เมื่อไปถึงไทยก็ยึดเวียงจันทน์เรียบร้อยแล้ว ส่วนหลวงพระบางก็เข้ากับฝ่ายไทยเหมือนล้านนา

กล่าวโดยสรุป พันธมิตรที่เจ้าอนุวงศ์ทรงคาดหวังว่าจะอยู่ฝ่ายพระองค์เมื่อตอนเริ่มต้นของสงคราม แต่ต่อเมื่อเคลื่อนทัพไปไกลแล้วก็ทรงพบว่าหลวงพระบางและ 5 หัวเมืองล้านนาไม่มีทีท่าชัดเจนว่าจะอยู่ฝ่ายพระองค์ พระองค์จึงทรงขอร้องให้หัวเมืองล้านนาทั้งห้าวางตัวเป็นกลาง พระองค์ก็ทรงพอพระทัยแล้ว แต่พระองค์ก็ต้องทรงผิดหวัง เพราะหัวเมืองทั้ง 6 แห่งที่กล่าวข้างต้นเข้ากับฝ่ายไทยทั้งหมด

แผนที่ การตีโต้ ของฝ่ายไทย ใน ศึกเจ้าอนุวงศ์ มุ่งสู่ เวียงจันทร์
แผนที่แสดงการตีโต้ของฝ่ายไทยในสงครามเจ้าอนุวงศ์

สำหรับญวน เป็นอาณาจักรที่เจ้าอนุวงศ์ทรงคาดหวังมากว่าจะเป็นพันธมิตรของพระองค์ ทรงส่งทูตไปเจรจาหลายครั้ง ขอร้องให้ญวนโจมตีไทยทางปากน้ำเจ้าพระยา ยังมิทันได้คำตอบจากญวน พระองค์ก็ทรงตัดสินพระทัยทำสงครามไปแล้ว องค์ต๋ากุนแม่ทัพใหญ่ของญวนในญวนใต้เห็นด้วยที่จะทำสงครามกับไทย แต่จักรพรรดิมินหม่างทรงรู้ว่าราชวงศ์จักรีมีพระคุณต่อจักรพรรดิยาลองในการทำสงครามกอบกู้ราชวงศ์เหวียนขึ้นมาได้ การมาช่วยลาวโจมตีไทยก็เหมือนคนอกตัญญู

ประกอบกับขณะนั้นเกิดอหิวาต์ระบาดในเมืองญวน คนตายเป็นจำนวนมาก จากเหตุผลดังกล่าว ญวนจึงวางเฉยต่อการชักชวนของเจ้าอนุวงศ์ดังกล่าว ตอนที่เจ้าอนุวงศ์ทรงบอกให้หัวเมืองล้านนาทั้งห้าวางตัวเป็นกลางนั้น พระองค์ยังทรงหวังว่าจะได้กำลังจากญวนมาช่วย เพราะพบหลักฐานในเอกสารชั้นต้นเป็นหนังสือที่แจ้งให้หัวเมืองล้านนาตอนหนึ่งว่า เรากับเมืองญวนเท่านั้นก็สำเร็จโดยง่าย นี่คือการประเมินที่ผิดพลาดอย่างสำคัญของเจ้าอนุวงศ์

สำหรับอังกฤษ เจ้าอนุวงศ์ทรงประเมินท่าทีผิดพลาดก่อนประเมินรัฐและหัวเมืองอื่น เป็นความผิดพลาดที่สำคัญกว่าความผิดพลาดอื่นด้วย เพราะปัจจัยที่ทำให้เจ้าอนุวงศ์ทรงตัดสินพระทัยว่าถึงเวลาแล้ว ที่เวียงจันทน์จะต้องประกาศเอกราชจากไทยก็คืออังกฤษนั่นเอง กล่าวคือ ในช่วงที่พระองค์ประทับอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอังกฤษไม่ดีนัก

อังกฤษส่งทูตคือกัปตันเฮนรี เบอร์นี มาเจรจาเพื่อทำสัญญาทางไมตรีและการค้ากับไทย ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2368 เจรจาอยู่ 3 เดือนก็ยังไม่ยุติ เจ้าอนุวงศ์ก็เสด็จกลับเวียงจันทน์ และต่อมาก็มีข่าวลือไปถึงเจ้าอนุวงศ์ที่เวียงจันทน์ว่าไทยมีเรื่องกับอังกฤษ ดังปรากฏในจดหมายเหตุ ร.3 จ.ศ. 1187 เลขที่ 5/ข ว่า

เรา [เจ้าอนุวงศ์] ได้ยินข่าวทัพเรืออังกฤษก็มารบกวนปากน้ำ… น่าที่เราจะยกกองทัพใหญ่ไปตีกรุงเทพฯ ก็เห็นได้โดยง่ายเพราะเราจะเป็นทัพกระหนาบ ทัพอังกฤษเป็นทัพหน้าอยู่ปากน้ำ ไทยก็จะพว้าพวังทั้งข้างหน้าข้างหลัง คงจะเสียทีเราเป็นมั่นคงไม่สงสัย

ข้อมูลเรื่องอังกฤษจะรบกับไทยนี้จึงเป็นข้อมูลที่สำคัญยิ่งต่อชะตาของเวียงจันทน์ เป็นเรื่องที่โชคร้ายมากที่เจ้าอนุวงศ์ทรงเชื่อข้อมูลนี้ จึงทรงตัดสินพระทัย กู้ชาติ” ทั้ง ๆ ที่กำลังทหารของพระองค์ยังไม่มากพอจะต่อกรกับไทยตามลำพัง ในแผนการสงครามกู้ชาติของพระองค์จึงมีอังกฤษเป็นพันธมิตร (ที่ไม่ได้เซ็นสัญญา) ที่รบกับไทยทางด้านปากน้ำเจ้าพระยา ส่วนฝ่ายเวียงจันทน์ตีไทยทางด้านเหนือ และอาจจะมีญวนช่วยตีทางด้านปากน้ำอีกทัพ

หากเป็นไปตามแผนที่จินตนาการไว้นี้ไทยจะต้องแย่แน่ ๆ ฝ่ายเวียงจันทน์เองก็รบง่ายขึ้น ไม่ต้องใช้กำลังมากมายก็อาจเอาชนะไทยได้ ในจินตนาการของพระองค์ยังทรงดึงล้านนาและหลวงพระบางให้ช่วยตีไทยทางเหนืออีกด้วย

โบสถ์ วัดสีสะเกด สร้างโดย เจ้าอนุวงศ์ วัดเดียว ที่ไม่ถูกทำลาย คราวกองทัพไทย ทำลาย เวียงจันทน์ ศึกเจ้าอนุวงศ์
โบสถ์วัดสีสะเกด สร้างโดยเจ้าอนุวงศ์ เป็นวัดเดียวที่ไม่ถูกทำลายคราวกองทัพไทยทำลายเวียงจันทน์

แต่จินตนาการสงครามของพระองค์ต้องล้มเหลวเพราะเมื่อเวลาทำสงครามจริง พันธมิตรในจินตนาการ” ของพระองค์กลับไม่ได้เกิดขึ้นจริง…

อังกฤษเซ็นสัญญาเบอร์นีกับไทย ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2369 (4 เดือนหลังจากพระองค์เสด็จออกจากกรุงเทพฯ) ญวนไม่ได้ยกทัพมา หลวงพระบางและล้านนาไทยทั้งห้าไม่ได้มาช่วยพระองค์ จึงมีแต่กำลังของเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์เท่านั้นก็ต้องรบกับไทยตามลำพัง

เรื่องอังกฤษรบกับไทย แม้ในเวลาต่อมาเจ้าอนุวงศ์คงจะทรงทราบว่าไม่จริง แต่นักประวัติศาสตร์ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงทราบความจริงตอนไหน อาจจะเป็นตอนที่มาถึงโคราชแล้วก็ได้ ตอนที่กองทัพเวียงจันทน์มาถึงโคราชที่แรก แจ้งกับกรมการเมืองโคราชว่า ยกทัพมาช่วยกรุงเทพฯ รบกับอังกฤษและขอเบิกข้าวจากฉางหลวงเมืองโคราช โดยอ้างว่าจะเอาไปเป็นเสบียง กรมการเมืองโคราชก็ไม่เคยทราบเรื่องไทยรบกับอังกฤษ ปกติเรื่องสำคัญขนาดนี้สมุหนายกจะต้องรีบแจ้งเจ้าเมืองโคราชให้ทราบอยู่แล้ว เพื่อเกณฑ์กองทัพเสบียง แต่นี่ไม่มีหนังสือแจ้งจึงดูจะไม่ค่อยเชื่อคำกล่าวอ้างของฝ่ายเจ้าอนุวงศ์

แต่ด้วยกองทัพที่ยกมามากมาย กรมการเมืองจึงต้องยอมเปิดฉางข้าวให้กองทัพฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ กองทัพของเจ้าอนุวงศ์ตั้งมั่นอยู่ที่โคราชถึง 37 วันจึงถอนกลับเวียงจันทน์ ที่ตั้งอยู่นานคงรอตรวจสอบข้อมูลเรื่องกองทัพญวนและอังกฤษ

เรื่องกองทัพเรืออังกฤษไม่เพียงแต่ทำให้เจ้าอนุวงศ์ทรงตัดสินพระทัยประกาศเอกราช แต่ทำให้ฝ่ายไทยเองก็สับสนพลอยระแวงว่าอังกฤษจะทำมิดีมิร้ายกับไทยหรือไม่ กล่าวคือ ในระหว่างที่ไทยเคลื่อนทัพจากภาคกลางสู่ภาคอีสานแล้ว เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชมีใบบอกถึงกรุงเทพฯ ว่า กองเรืออังกฤษ 5 ลำมาจอดที่ปีนัง ไม่ทราบว่าจะมุ่งไปทางใด เขาจึงไม่อาจนำทัพมาช่วยกรุงเทพฯ ด้วยตนเอง แต่ให้พระยาพัทลุงบุตรชายคนโตนำทัพ 5,000 คน มาช่วยกรุงเทพฯ รบกับเวียงจันทน์

ข่าวร้ายนี้ทำให้รัชกาลที่ 3 ทรงเรียกกองทัพที่ส่งมารบในอีสานกลับ 3 กองทัพ (คือ กองทัพเจ้าพระยาพระคลัง กองทัพกรมหมื่นพิพิธภูเบนทร กองทัพกรมหมื่นสุรินทรรักษ์) แต่ม้าเร็วมาแจ้งทันเพียง 2 กองทัพที่อยู่หลังสุด 2 กองทัพนี้จึงกลับมารักษากรุงเทพฯ

ที่ยกเรื่องอังกฤษมายืดยาวก็เพื่อจะบอกว่าการที่เจ้าอนุวงศ์ทรงเชื่อว่าอังกฤษคงจะมีเรื่องกับไทยแน่ เป็นข่าวที่มีมูล ไม่ใช่เป็นจินตนาการที่ไร้เหตุผล แต่โชคร้ายสำหรับเจ้าอนุวงศ์ตรงข่าวนี้ไม่จริง หากไทยรบกับอังกฤษจริง เวียงจันทน์ก็คงกู้ชาติสำเร็จไปแล้วในสงครามครั้งนั้น

3. การกวาดต้อนประชากรอีสานเป็นจำนวนมาก หากดูผิวเผินจะเป็นผลดีต่อฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ในเรื่องของการเพิ่มพลเมืองเพิ่มกำลังทหาร แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกแล้วเป็นการสร้างปัญหาแก่ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ไม่น้อย กล่าวคือ ต้องแบ่งกำลังทหารส่วนหนึ่งมาควบคุมผู้อพยพไม่ให้ก่อความวุ่นวาย หรือโจมตีฝ่ายลาวแบบที่เกิดที่ทุ่งสำริดซึ่งทำให้จำนวนทหารจะใช้รบจริงลดลง

ความทุกข์ยากของผู้อพยพจากการเดินทาง การขาดแคลนอาหาร การเจ็บป่วย และการต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติเนื่องจากไม่อาจขนย้ายไปได้ ทำให้ผู้อพยพไม่พอใจจนเกิดการต่อต้านจากผู้อพยพหลายที่ เช่น ชาวบ้านด่านลำจาก อุบลราชธานี ศรีสะเกษ เป็นต้น ซึ่งการต่อต้านของ 2 กรณีหลังทำให้เจ้านครจำปาศักดิ์พ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว ในตอนท้ายของสงคราม

4. เจ้าเมืองอีสานหลายเมืองไม่ยอมให้ความร่วมมือกับฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ บางเมืองก็ต่อต้านจนถูกประหาร เจ้าเมืองที่ถูกฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ประหารมีเจ้าเมืองกาฬสินธุ์ เขมราฐ ชัยภูมิ ภูเวียง ภูเขียว หล่มสัก และขุขันธ์ เมืองหลังนี้เคยให้ความร่วมมือดีมาก แต่ตอนหลังเกิดระแวงจึงถูกประหาร การประหารชีวิตเจ้าเมืองเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะเจ้าเมืองทุกแห่งมีญาติพี่น้องบ่าวไพร่มาก และญาติพี่น้องส่วนมากก็เป็นผู้บริหารเมืองนั้นๆ ด้วย จึงเท่ากับเจ้าอนุวงศ์ทรงสร้างศัตรูขึ้นมากมาย

5. อาวุธของฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ที่มีประสิทธิภาพ เช่น ปืนคาบศิลา มีน้อย ตัวอย่างเช่นการรบที่ค่ายหนองบัวลำภู ค่ายนี้เป็นปราการป้องกันเวียงจันทน์ที่สำคัญมาก เป็นค่ายที่มีความกว้าง 640 เมตร และยาวถึง 1,200 เมตร รวมความยาวของกำแพงค่าย 3,680 เมตร แต่มีทหารรักษาค่ายเพียง 2,300 คน และมีปืนคาบศิลาเพียง 190 กระบอก และไม่มีปืนใหญ่เลย ทหารจำนวนหนึ่งไม่มีหอก ดาบ ปืน แต่ใช้กระบองและไม้ไผ่เสี้ยมปลายแหลมเป็นอาวุธ

ที่ทหารเหล่านี้ไม่ได้รับแจกอาวุธดี ๆ เพราะไม่มีอาวุธจะแจก หรือเพราะทหารเหล่านี้เป็นทหารเกณฑ์จากเมืองอื่น ๆ ที่ไม่ค่อยแน่ใจในความจงภักดีนักก็ได้ (ทหารเวียงจันทน์และจัตุรัสเท่านั้นที่มีหอก ดาบ หรือปืนได้) หรือเป็นทั้งไม่ค่อยมีอาวุธจะแจกและไม่ค่อยไว้วางใจก็เลยไม่ได้รับอาวุธดี ๆ

ชาวอีสาน พิธีเผาศพ ประเพณี พื้นเมือง สองฝั่งโขง
ชาวอีสาน พิธีเผาศพตามประเพณีแบบพื้นเมืองสองฝั่งโขง ภาพลายเส้นฝีมือชาวยุโรป เขียนสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงต้นแผ่นดินรัชกาลที่ 5

6. ความประมาทของฝ่ายเวียงจันทน์ในกรณีอพยพชาวโคราชทำให้เกิดการลุกฮือของชาวโคราชที่ทุ่งสำริด โจมตีทหารที่คุมมาตายเกือบหมด และทหารที่ส่งมาปราบก็ถูกโจมตีแตกกลับไปถึง 2 ครั้ง มีทหารฝ่ายเวียงจันทน์ตายในการสู้รบประมาณ 1,200-3,000 คน เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของฝ่ายเวียงจันทน์ น่าจะส่งผลให้ความมั่นใจในตัวเองและขวัญของฝ่ายนี้ลดลง เพราะชาวโคราชกลุ่มนี้เกือบทั้งหมดเป็นชาวบ้านไม่ใช่ทหารยังรบแพ้ ถ้ารบกับกองทหารไทยที่อาวุธเพียบพร้อมจะขนาดไหน

การรบครั้งนั้นเป็นผลให้คุณหญิงโม ผู้นำการรบคนหนึ่งได้รับการยกย่องเป็นท้าวสุรนารี วีรสตรีของไทย อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว นอกจากนี้น่าจะมีผลให้จำนวนสัดส่วนของทหารที่ควบคุมผู้อพยพสูงขึ้นในเวลาต่อมา เพราะจำนวนทหารที่ควบคุมขบวนผู้อพยพ 18,000 คน มีเพียง 200 คน หรืออัตราส่วนทหาร 1 คน ต่อผู้อพยพ 90 คน ซึ่งน้อยเกินไปจนเกิดความพ่ายแพ้ที่ทุ่งสำริด ซึ่งฝ่ายเวียงจันทน์ต้องจำไปนานแสนนาน

กล่าวโดยสรุป ความปราชัยของเจ้าอนุวงศ์เกิดจากการประเมินกำลังพันธมิตรผิดพลาดเป็นอย่างมาก เพราะลำพังกำลังทหารฝ่ายเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ ก็มิอาจสู้กำลังทหารฝ่ายไทยอยู่แล้ว เจ้าอนุวงศ์ทรงฝากความหวังไว้กับอังกฤษ ซึ่งมิได้เป็นพันธมิตรโดยตรงของพระองค์ แต่เป็นพันธมิตรทางอ้อม หากอังกฤษโจมตีปากน้ำเจ้าพระยา ไทยจะต้องแบ่งกำลังส่วนใหญ่เอาไว้ต้านอังกฤษ

นอกจากนี้เจ้าอนุวงศ์ยังทรงฝากความหวังไว้กับญวนว่าจะเข้าโจมตีทางปากน้ำเช่นกัน แต่ทั้งอังกฤษและญวนมิได้โจมตีไทยดังที่คาดไว้ ทำให้ไทยทุ่มกำลังส่วนใหญ่มาทางอีสาน เจ้าอนุวงศ์ยังทรงฝากความหวังไว้กับหลวงพระบางและหัวเมืองล้านนาทั้งห้า หวังว่าจะช่วยพระองค์ตีไทยทางด้านเหนือ แต่ความเป็นจริงตรงกันข้าม หัวเมืองทั้งหกยกทัพมุ่งไปที่เวียงจันทน์ การถูกเจ้าเมืองอีสานหลายเมืองต่อต้าน จนต้องประหารชีวิตเจ้าเมืองถึง 6 เมือง ล้วนแต่มีผลในทางลบอย่างยิ่งต่อเจ้าอนุวงศ์

ส่วนปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้พระองค์ทรงปราชัย ก็คือปริมาณอาวุธที่ทันสมัย เช่น ปืนคาบศิลา ซึ่งเป็นอาวุธยาว ทหารฝ่ายไทยมีมากกว่า แม้อาวุธพื้นฐานคือหอก ดาบ ทหารส่วนหนึ่งของฝ่ายเวียงจันทน์ก็ไม่มี มีแต่กระบองและไม้ไผ่เสี้ยมปลายแหลม

การกวาดต้อนประชากรอีสานกลับไปเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความทุกข์ยากต่อคนเหล่านี้จนหลายเมืองเกิดการต่อต้าน โดยเฉพาะการต่อต้านของชาวเมืองโคราช แล้วทหารฝ่ายเวียงจันทน์ปราบไม่ได้ทำให้ขวัญกำลังฝ่ายเวียงจันทน์ตกต่ำ และต้องนำทหารที่ต้องใช้รบมาคุมเชลยที่เหลือมากขึ้น ทำให้ทหารที่ใช้รบของฝ่าย เวียงจันทน์ ลดลง

ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้ เจ้าอนุวงศ์ทรงปราชัยในสงครามกู้ชาติครั้งนั้น…

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


หมายเหตุ : เนื้อหานี้คัดส่วนหนึ่งจาก “ทำไมเจ้าอนุวงศ์ จึงต้องปราชัย” เขียนโดยสุวิทย์ ธีรศาศวัต ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับกันยายน 2549 [เว้นวรรคคำ ปรับย่อหน้าใหม่ และเน้นคำเพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม]


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 25 สิงหาคม 2566