“ห่าจก-ห่ากิ๋นตั๊บ” ส่องวัฒนธรรมคำด่าตระกูล “ห่า” จากเหนือจรดใต้ อดีตถึงปัจจุบัน

หญิงไทย หนังสือเล่าเรื่องกรุงสยาม คนไทย ไทย ไท คนไท
หญิงไทยวัย 14 ปี และชายไทย (ใช้ผ้าขาวม้าพาดบ่าทั้งสองข้าง) ในอดีต (ภาพจากหนังสือ เล่าเรื่องกรุงสยาม โดย ม.ปัลเลอกัวซ์)

ห่าจก ห่ากิ๋นตั๊บ ส่องวัฒนธรรม “คำด่า” ตระกูล “ห่า” จากเหนือจรดใต้ อดีตถึงปัจจุบัน ทำไมคำว่าห่าถึงกลายเป็นคำด่าไปได้

เป็นเรื่องน่าสนใจทีเดียวเมื่อนักวิชาการหรือผู้ศึกษาค้นคว้าด้านวัฒนธรรมประเภทต่างๆ มักบอกกันว่า “คำบริภาษผู้ที่ทำให้เราไม่พอใจนั้นมีอยู่ด้วยกันทุกชนชาติ” ประเด็นที่น่าคิดคือ ถ้อยคำที่ก่นด่ากันนั้นมีนัยสำคัญอย่างไร ไฉนผู้ก่นด่าถึงเลือกคำนั้นมาใช้ และมีคำด่าปรากฏมากมาย แต่ที่ใช้กันโดยทั่วไปจนถึงวันนี้ก็มีมาก อาทิ คำด่าตระกูล “ห่า” ซึ่งพบว่ามีใช้กันหลายพื้นที่ หลายภูมิภาคตั้งแต่เหนือจรดใต้เลยทีเดียว

“ภาษา” เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารความคิดและอารมณ์ความรู้สึก องค์ บรรจุน ผู้ศึกษาด้านวัฒนธรรมมอญ อธิบายไว้อย่างน่าคิดทีเดียวว่า “ภาษาที่ดีต้องสื่อได้ทุกอารมณ์แม้กระทั่งอารมณ์โกรธ ฉะนั้นจึงเป็นความจำเป็นในการมีอยู่ของคำด่า แม้กระทั่งการเรียนรู้ภาษาอื่นในภายหลังที่ไม่ใช่ภาษาแม่ (Mother Tongue)”

หากจะกล่าวถึงคำ (ด่า) ที่ปรากฏมายาวนาน และกลายเป็นคำด่าในปัจจุบัน คำตระกูล “ห่า” เป็นคำที่น่าสนใจทีเดียว คำว่าห่าในบันทึกสมัยโบราณปรากฏว่าใช้คำชื่อเรียก “โรค” ดังที่ ผศ. ดร. รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล อธิบายคำว่าห่า ซึ่งปรากฏใน สัพะพะจะนาพาสาไทย ของบาทหลวงปาลเลอกัวซ์ว่า ให้ความเป็นภาษาอังกฤษว่า plague (ปัจจุบันคำนี้หมายถึง โรคระบาด/ภัยพิบัติ/รังควาน)

ขณะที่ อักขราภิธาน ของหมอบรัดเล ระบุว่า “ความไข้ประจุบัน ตายเร็ว, เกิดมีชุมนัก เช่น ไข้ลงรากนั้น”

ส่วน คัมภีร์สรรพพจนานุโยค หรือพจนานุกรมอังกฤษ-ไทย ของแสมูเอ็ล เจ สมิท ให้ความหมายของ plague ว่า โรคห่าโรคร้ายนักอันมักจะติดคนให้ตายมากๆ ในคราวเดียวที่เปนนั้น ; ความร้ายเบียดเบียนคนเป็นอันมากเป็นคราวๆ ; โรคปัตยุบัน ; กาฬโรค (พิมพ์ตามต้นฉบับ)

ผศ. ดร. รุ่งโรจน์ มองว่า จากตัวอย่างในพจนานุกรมข้างต้นนี้ ทำให้เข้าใจได้ว่า คำว่าห่าในสมัยรัชกาลที่ 3 ถึงรัชกาลที่ 5 หมายถึงโรคระบาดด้วยเช่นเดียวกัน แต่จะเป็นโรคใดนั้นก็สุดแล้วแต่ว่าช่วงนั้นโรคอะไรระบาด โดยคำว่าห่าในความหมายว่า “โรคระบาด” ปรากฏมาจนถึงปลายรัชกาลที่ 5 เป็นอย่างช้า ดังปรากฏประกาศห้ามเรือจากซัวเถา วันที่ 24 เมษายน ร.ศ. 116 ที่กล่าวถึง กาฬโรค (โรคห่า)

ผศ. ดร. รุ่งโรจน์ สรุปไว้ว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ศัพท์คำว่า ‘อหิวาตกโรค’ ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา หรือคำว่า ‘ห่า’ ในพงศาวดารเหนือซึ่งมีอายุเก่าไปถึงครั้งกรุงศรีอยุธยา ก็ย่อมหมายถึงโรคระบาดชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งจะไประบุว่าเป็นโรคใดก็ไม่ได้…”

เมื่อมาถึงสมัยปัจจุบัน คำว่าห่ากลับกลายเป็นคำหนึ่งในตระกูล “คำด่า” โดยปรากฏอย่างหลากหลายแทบทุกบริบท ทั้งในภาคเหนือและภาคใต้ คำว่านี้สามารถเป็นคำด่าด้วยตัวของมันเอง โดยไม่ต้องผสมรวมกับคำอื่น หรือจะนำไปผสมกับวลีคำด่าอื่นก็ได้เช่นกัน ดังเช่นมีผู้รวบรวมข้อมูลไว้ว่า คำ “อีห่าฟัด” หรือ “ไอ้ห่าฟัด” รวมไปถึงคำตระกูลห่าทั้งหลาย ที่ไม่ได้ถูกรวมไว้ในอักขราภิธานศรับท์ เช่น “ห่าจิก” “ห่าราก” “ห่ากิน” ก็มีคนชนบทรุ่นเก่าๆ ยังใช้กันอยู่

ส่วนคำด่าในภาษาแบบทางเหนือของประเทศไทย ก็สามารถพบคำว่า “ห่า” ได้หลายจุด ดังเช่นตัวอย่างในเว็บไซต์ อาทิ

“ห่ากิ๋นตั๊บ ง่าวสุ๊ดหัวสุ๊ดตี๋นบ่อมีปั๋ญญาหาเงิน…มีก่ากู้…บ่าปันต๋าย…บ่าง่าว… บ่ะฮ่ากิ๋นตั๊บ กิ๊นไต๋ บะลูกค่ำ ลูกงำ…ตำเฮาะ ตำวายตายพาย ตายกั๊ดบ่าจ๊าดหมา อีแห่น…ซากต๋าย สิบหล๊วกคิงเขา แลกง่าวฮาอันเดว ยังบ่าเอาน่ะบะ จ๋าเหลือ…อิ่วอก อิ่พาย ตุ่มปิ๊ดติดคอ บ่าฮ่า บ่าวอก บ่าปันต๋าย…บ่าหน้ามุ่ม…” — จาก www.cm108.com (อ้างถึงใน องค์ บรรจุน, 2558)

จากการสอบถามผู้ใช้ภาษาท้องถิ่นทางเหนือ คำว่า “ห่ากิ๋นตั๊บ” หากแปลตรงตัวหมายถึง “ไอ้ห่ากินตับ” คำว่า “ห่า-ห้า” ใช้ในบริบทตามที่อธิบายข้างต้นในกรณีการเสริมแรง สำหรับคำว่า “กิ๋นตั๊บ” แปลตรงตัวว่า “กินตับ”

จากการสอบถามผู้ใช้ภาษาเหนือแล้ว พบว่า คำว่าห่าในทางเหนือ ในทาง “ปฏิบัติ” (ใช้งาน) คล้ายกับคำว่า “เหี้ย” ในหมู่คนทั่วไป กล่าวคือ คำว่า “เหี้ย” สื่อถึงคำด่าโดยตัวของมันเองก็ได้ หรือหากไปผสานรวมกับวลีอื่น ก็สามารถเสริมแรงให้คำด่าสื่อสารอารมณ์รุนแรงขึ้นได้เช่นกัน

ตัวอย่างเช่น ถ้าด่าว่า “บ่าวอก” คือด่าคนที่ชอบโกหกเหมือนลิงหลอกเจ้า หากเติม “ห่า-ห้า” ไปเป็น “บ่าห้าวอก” จะแบบเพิ่มอรรถรสในการด่าขึ้นไปอีก

ส่วนคำด่าของคนใต้ จากคำบอกเล่าขององค์ บรรจุน ระบุถึงคำว่า ห่าจก หมายถึง “ตะกละ” — www.muanglung.com

ในทางภาษาแล้ว คำด่า อาจไม่ใช่สิ่งที่สะท้อนถึงวัฒนธรรม “ภาษา” ในแง่มุม “ความสวยงาม” แต่จากการปรากฏตัวและการใช้งานที่พบว่ามีอยู่ในทุกชนชาติและมีมายาวนาน ในแง่หนึ่ง “คำด่า” ย่อมสะท้อนถึง “ค่านิยม-ทัศนคติ-คุณค่า” ที่คนแต่ละยุคสมัย แต่ละพื้นที่ ในแต่ละชุมชนมีต่อสิ่งหนึ่ง บางครั้งคำด่าในวัฒนธรรมหนึ่ง เมื่อใช้ในอีกวัฒนธรรม ผู้ฟังอาจไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังถูกด่า

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

“คนโบราณเค้าด่ากันอย่างไร ดูคำด่าเจ็บแสบของยุค และคำด่าอมตะที่ใช้ถึงวันนี้”. ศิลปวัฒนธรรม. ออนไลน์. เผยแพร่เมื่อ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561. เข้าถึงเมื่อ 26 มีนาคม 2564. <https://www.silpa-mag.com/culture/article_21664>

รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล. “อหิวาตกโรค = โรคระบาด, ห่า = โรคระบาด ดังนั้นโควิดของเรา = โรคห่าของพระเจ้าอู่ทอง”. ศิลปวัฒนธรรม. ออนไลน์. เผยแพร่เมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563. เข้าถึงเมื่อ 26 มีนาคม 2564. <https://www.silpa-mag.com/history/article_47392>

วิภา จิรภาไพศาล. “โรคระบาดในวรรณกรรม “โรคห่า” ในพระอภัยมณี และเรื่องนาฏกรรมรัฐในอดีต”. ศิลปวัฒนธรรม. ออนไลน์. เผยแพร่เมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2563. เข้าถึงเมื่อ 26 มีนาคม 2564. <https://www.silpa-mag.com/history/article_51007>

องค์ บรรจุน. “วัฒนธรรมคำด่า” ใน, ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2558.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 26 มีนาคม 2564