ย้อนรอยพระราชพิธีโสกันต์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้านายพระองค์ใดโสกันต์คนแรก-คนสุดท้าย?

เขาไกรลาส ใน พระราชพิธีโสกันต์ ต้นกรุงรัตนโกสินทร์
เขาไกรลาสในพระราชพิธีโสกันต์ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (ภาพจากหนังสือ ราชพัสตราภรณ์)

ย้อนรอย พระราชพิธีโสกันต์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องในวัฒนธรรม การไว้จุก ของเด็กไทยโบราณ เจ้านายพระองค์ใดโสกันต์คนแรก-คนสุดท้าย?

วัฒนธรรมการไว้ผมของเด็กไทยโบราณคือ การไว้จุก ทั้งเด็กชายและเด็กหญิง นับตั้งแต่พระราชโอรส พระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ ลงมาถึงบุตรธิดาของขุนนาง ตลอดจนบุตรหลานของสามัญชน เมื่อเด็กอายุครบโกนจุก ( 7 ขวบ 9 ขวบ หรือ 11 ขวบ สำหรับเจ้านายผู้หญิงเมื่อครบ 11 ชันษา สำหรับเจ้านายผู้ชายเมื่อครบ 13 ชันษา ) ทางครอบครัวของเด็กจะจัดพิธีโกนจุกขึ้นตามแต่ฐานะและความสะดวก

พิธีโกนจุกถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมอันเกี่ยวข้องกับการเกิด โดยจะมีความเชื่อในเรื่องขวัญมาเกี่ยวข้อง ทั้งยังบอกว่าเด็กกำลังก้าวย่างเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่

พิธีโกนจุกมีคำที่ใช้เรียกตามแต่ฐานะของบุคคลนั้น กล่าวคือ ถ้าจัดพิธีสำหรับพระราชโอรส พระราชธิดา ที่ทรงมีพระอิสริยยศตั้งแต่ชั้นเจ้าฟ้า จนถึงชั้นพระองค์เจ้า จะเรียกว่าโสกันต์แต่ถ้าจัดสำหรับพระเจ้าหลานเธอหรือสมาชิกในราชสกุลวงศ์อื่น ในพระราชวงศ์ในลำดับชั้นหม่อมเจ้า จะใช้ว่าเกศากันต์ ซึ่งเป็นพระราชพิธีเช่นเดียวกับพระราชพิธีโสกันต์ ต่างกันที่การแต่งองค์ทรงเครื่อง ตลอดจนพิธีแห่บางอย่างอาจเพิ่มลดตามลำดับพระเกียรติยศของเจ้านายพระองค์นั้น

พระราชพิธีโสกันต์ เจ้านายชั้นสมเด็จเจ้าฟ้านั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่สมพระอิสริยยศ และฐานันดรศักดิ์ของเจ้านายพระองค์นั้น สิ่งก่อสร้างที่จำลองขึ้นในพระราชพิธีโสกันต์คือเขาไกรลาสอันเป็นสมมุติบรรพตภูเขาจำลองในการประกอบพระราชพิธีตามโบราณราชประเพณี

พระราชพิธีโสกันต์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

พิธีโสกันต์ในยุครัตนโกสินทร์นั้น ได้สืบทอดแบบแผนมาจากกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย โดยมีเจ้าฟ้าพันทวดี ซึ่งเป็นพระเจ้าลูกเธอชั้นเจ้าฟ้าในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเพียงพระองค์เดียวที่ยังทรงมีพระชนม์อยู่เมื่อแรกตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงทราบขนบธรรมเนียมในวังเมื่อปลายกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างดี

ขณะเดียวกันทรงเกรงว่า พิธีโสกันต์ตามแบบโบราณราชประเพณีจะสูญหายไป จึงได้ทรงบันทึกและทรงแจกแจงรายละเอียดไว้เป็นตำรา เจ้านายพระองค์แรกที่ทรงเข้าพิธีโสกันต์ตรงตามตำราที่เจ้าฟ้าพินทวดีทรงบันทึกไว้คือเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกประสูติแต่เจ้านางคำสุก ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระเจ้าอินทวงศ์ เจ้ากรุงสัตนาคนหุต

ธรรมเนียมการโสกันต์ในครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์นั้น นิยมจัดในเดือน 4 พร้อมกับพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ (พิธีตรุษไทย) การพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์นี้ ถือเป็นการปัดเป่าเสนียดจัญไร สิ่งชั่วร้ายทั้งปวงให้สิ้นไป ดังนั้นการโสกันต์ หรือเกศากันต์ในพิธีตรุษเดือน 4 นี้จึงไม่ต้องหาฤกษ์ยามใด ด้วยเหตุดังกล่าว ในสมัยโบราณจึงนิยมจัดพระราชพิธีโสกันต์ หรือเกศากันต์พร้อมไปกับงานพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์เลย กระทั่งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ธรรมเนียมการตั้งพิธีโสกันต์พร้อมการพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์จึงค่อย เปลี่ยนไปเป็นประกอบร่วมกับพระราชพิธีตรียัมปวายแทน

สำหรับพระราชพิธีโสกันต์เจ้านายระดับเจ้าฟ้า ตามตำรับเดิมของเจ้าฟ้าพินทวดีนั้น จะมีการแห่และการสมโภชจนกระทั่งเชิญพระเกศาไปลอย รวมระยะเวลาถึง 7 วัน คือเริ่มตั้งแต่ตั้งพระราชพิธีที่พระมหาปราสาท มีการสร้างเขาไกรลาส เพื่อใช้เป็นที่สรงน้ำ และให้เจ้านายที่ทรงโสกันต์เสด็จขึ้นไปรับพรพระอิศวร บริเวณรอบเขาไกรลาส ตั้งราชวัตร ปักฉัตรเงินฉัตรทอง ฉัตรรายทาง มีพนักงานนั่งกลาบาศ (นั่งขัดสมาธิเรียงต่อกัน โดยเว้นระยะห่างไม่เกินศอกต่อศอก) พร้อมด้วยการละเล่นต่าง ส่วนขบวนแห่มีดังนี้

1. นางเชิญมยุรฉัตร เด็กหญิงแต่งชุดละครรำ คือนุ่งจีบ ห่มผ้าหน้านาง สวมชฎา เดินถือพุ่มที่ทำด้วยหางนกยูง

2. นางเชิญเครื่อง แต่งตัวแบบเดียวกับนางเชิญมยุรฉัตร แต่เชิญเครื่องสูง เช่น บังสูรย์ บังแทรก

3. นางแต่งตัวสะ ผู้หญิงแต่งตัวสวมเกี้ยว นุ่งผ้าลาย พื้นเขียวห่มผ้าแพรพื้นแดง เดินประนมมือตามขบวนแห่ เดินหน้านำขบวน          

เจ้าฟ้าที่เข้าพิธีโสกันต์ทรงเครื่องขาว ประทับพระราชยานเสด็จไปฟังสวดมนต์สามวัน ถึงวันที่ 4 จึงโสกันต์ สรงน้ำ และเสด็จขึ้นเขาไกรลาสเพื่อรับพรพระอิศวร จากนั้นเสด็จลงมาทรงเครื่องต้น แห่เวียนรอบเขาไกรลาส 3 รอบ และแห่กลับในตอนเช้า ตอนบ่ายทรงเครื่องแดงเข้าพระราชพิธีสมโภช และมีกระบวนแห่สมโภชอีก 2 วัน ถึงวันที่ 7 แห่พระเกศาไปลอย เป็นอันเสร็จพระราชพิธีลงสรงโสกันต์ตามตำรับเดิมสำหรับเจ้านายชั้นเจ้าฟ้า หากเป็นเจ้านายชั้นพระองค์รองลงมา ในกระบวนแห่จะไม่มีนางมยุรฉัตร ไม่มีเขาไกรลาสสำหรับสรง แต่จะทำเป็นพระแท่นสำหรับสรงแทนและกระบวนแห่ก็ทำย่อลงตามพระอิสริยยศ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเทพทวารวดี ใน พระราชพิธีโสกันต์ พ.ศ. 2435 (ภาพจาก หนังสือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร กรมศิลปากรจัดพิมพ์เนื่องในพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร วันที่ 28 ธันวาคม พุทธศักราช 2515)

แต่เมื่อมาถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การต่าง ได้ปรับให้เหมาะกับยุคสมัย จึงเหลืองานราชพิธีรวมเวลา 4 วัน แต่ยังคงรูปแบบเดิมไว้ อาทิ มีนางเชิญเครื่อง นางมยุรฉัตร นางสะ เข้าขบวนแห่ มีการสร้างเขาไกรลาส สำหรับโสกันต์เจ้าฟ้าเหมือนเดิม ส่วนการละเล่นประกอบพิธีสมโภชก็เป็นไปตามแผนโบราณราชประเพณีคือ มีการเล่นกุลาตีไม้ ระเบง โมงครุ่ม รำต้นไม้เงินต้นไม้ทอง และมหรสพอื่น เป็นการเฉลิมฉลอง เช่น กระตั้วแทงควาย ญวนหกสูงไม้ เป็นต้น

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าพระราชพิธีโสกันต์นั้นจัดเป็นพิธีใหญ่ บางปีมีเจ้าฟ้าและพระองค์เจ้าทรงโสกันต์หลายองค์ก็จะมีขบวนแห่แหน การละเล่นต่าง อย่างครึกครื้น ชาววังจึงตั้งหน้าตั้งตาคอยที่จะดูกระบวนการแห่และมหรสพสมโภชกันอย่างตื่นเต้น

แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมา เจ้านายในชั้นหลัง มิได้ไว้พระเมาลีกันอีกแล้วประเพณีโสกันต์ หรือเกศากันต์จึงค่อย เลือนหายไป

พิธีโสกันต์ครั้งสุดท้ายที่จัดขึ้นในประเทศไทยคือพิธีโสกันต์พระองค์เจ้าอินทุรัตนาพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตที่ประสูติแต่หม่อมสมพันธุ์ บริพัตร ณ อยุธยาที่จัดขึ้นในปี 2475 อันเป็นปีสุดท้ายก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หลังจากนั้นพิธีโสกันต์ก็กลายเป็นอดีต เหลือเพียงแค่การรำลึกถึงความยิ่งใหญ่และอลังการเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

นิพัทธพงศ์ พุมมา. (2557, กรกฎาคมธันวาคม). เขาไกรลาส: เครื่องประกอบในพระราชพิธีโสกันต์. วารสาร มฉก.วิชาการ. 18(35) : 121-122.

ธาดาพร. (2551). 50 ปีความรู้คือประทีป. โสกันต์ พระราชพิธีที่เหลือแต่ความทรงจำ. บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน). ฉบับที่ 4. หน้า 3-5.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 19 มิถุนายน 2562