บรรยากาศสงกรานต์อีสาน ยุค ร.5 เล่นน้ำกันเละเทะ สาดตั้งแต่โคลนเลน ยันน้ำครำ!?

ฮูปแต้ม พิธีฮดสรง ใน สิม วัดป่าเรไรย์ นาดูน มหาสารคาม สงกรานต์อีสาน อีสาน
ฮูปแต้ม “พิธีฮดสรง” ในสิมวัดป่าเรไรย์ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม (ภาพจากหนังสือ “ฮูบแต้มในสิมอีสาน งานศิลป์สองฝั่งโขง” โดย อาจารย์สุมาลี เอกชนนิยม)

บรรยากาศสงกรานต์อีสาน ยุค ร.5 เล่นน้ำกันเละเทะ สาดตั้งแต่โคลนเลน ยันน้ำครำ!?

แผ่นดิน “อีสาน” สมัย รัชกาลที่ 5 ถือเป็นดินแดนไกลปืนเที่ยงและอยู่ห่างไกลความรับรู้ของชนชั้นนำในกรุงเทพฯ พอสมควร แต่ยังพบเรื่องราวประเพณีวัฒนธรรมเนื่องในเทศกาล “สงกรานต์” ของคนท้องถิ่น หรือ สงกรานต์อีสาน ปรากฏให้เห็นอยู่ รวมถึงการละเล่น “สาดน้ำ” ที่ถือได้ว่าสาดกันไม่ยั้งมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว

บรรยากาศราษฎรเข้าวัดทำบุญ สรงน้ำพระ และก่อพระเจดีย์ทรายในวันสงกรานต์ จิตรกรรมฝาผนังภายในพระวิหารหลวง วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม
บรรยากาศราษฎรเข้าวัดทำบุญ สรงน้ำพระ และก่อพระเจดีย์ทรายในวันสงกรานต์ จิตรกรรมฝาผนังภายในพระวิหารหลวง วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม

ประจักษ์พยานดังกล่าวคือหนังสือ ลัทธิธรรมเนียมประเพณีของราษฎรในภาคอีสาน (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ทรงธรรม) ของ หลวงผดุงแคว้นประจันต์ (จันทร์ อุตตรนคร) ข้าราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้บอกเล่าถึงบรรยากาศสงกรานต์ในภาคอีสานว่าเป็นอย่างไร

หลวงผดุงแคว้นประจันต์เป็นชาวอุบลราชธานี แต่มาบวชเป็นสามเณรเรียนพระปริยัติธรรมในกรุงเทพฯ และอุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่หลายพรรษา ก่อนลาสิกขาบทออกมารับราชการในกระทรวงธรรมการ กระทรวงมหาดไทย ต่อมาจึงได้ไปรับราชการหัวเมือง เป็นนายอำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี ท่านจึงมีโอกาสได้สัมผัสบรรยากาศช่วง “สงกรานต์” ในหัวเมืองห่างไกลในภาคอีสาน ทั้งที่อุบลฯ บ้านเกิดของท่าน และอำเภอเพ็ญ ที่อุดรฯ

หลวงผดุงแคว้นประจันต์อธิบายว่า เทศกาลสงกรานต์ใน อีสาน (ต้นฉบับใช้ ‘อีศาน’) ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่เช่นเดียวกับที่กรุงเทพฯ เมื่อถึงวันสงกรานต์ พระภิกษุสงฆ์ สามเณร จะเชิญพระพุทธรูปออกจากโบสถ์ไปตั้งไว้ที่ “หอสรง” เพื่อให้ญาติโยมมาสรงน้ำพระ

หอสรงของชาวอีสานเป็นที่สำหรับสรงน้ำพระพุทธรูปในช่วงสงกรานต์ ซึ่งชาวบ้านลงแรงกันสร้างไว้ในวัด โดยเป็นหอเล็ก ๆ พอจุพระพุทธรูป (ขนาดเล็ก) อย่างมากไม่เกิน 10 องค์ หลังเชิญพระพุทธรูปออกตั้งไว้ที่หอสรงแล้ว เวลาประมาณบ่าย 2 โมง ชาวบ้านก็จะพากันไปสรงน้ำพระพุทธรูป ธรรมเนียมการสรงน้ำพระนี้กินเวลาถึง 15 วันจึงเลิก

เครื่องสรงน้ำพระพุทธรูปของชาวอีสานเรียก “กงพัด” เป็นอุปกรณ์รูปร่างคล้ายกังหันน้ำ ทำด้วยไม้ไผ่ ต่อกับรางรองน้ำ เวลาสรงน้ำ ชาวบ้านจะเทน้ำอบน้ำหอมรวมกันลงในราง ปล่อยให้ไหลไปถึงกงพัด น้ำจะไหลออกตามท่อ และกงพัดจะหมุนไปเรื่อย ๆ คล้ายจักรเรือกำปั่น

ขณะเดียวกัน ชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งซึ่งโดยมากจะเป็นหนุ่มสาวและภิกษุสามเณร จะรวมกลุ่มกันเป็นขบวนออกไปเก็บดอกไม้ตามป่าตามโคกมาบูชาพระ ระหว่างทางก็จะมีการเล่นเครื่องดนตรี ได้แก่ กลองตบ ฆ้องหมุ่ย ฉาบ ประโคมตามไปด้วย เมื่อเก็บดอกไม้พอแล้วจึงพากันแห่กลับมายังวัด นำดอกไม้ไปไว้ที่หอสรงรอบองค์พระพุทธรูป จากนั้นเวลาประมาณ 1 ทุ่ม จะมีการตีกลองใหญ่ 3 ครั้ง เรียกชาวบ้านมาชุมนุมกันที่ลานวัด ละเล่นกิจกรรมครื้นเครง ทั้งการแอ่ว ขับแคน ร้องรำทำเพลงสนุกสนานกันถึง 4-5 ทุ่ม แล้วจึงเลิกกลับบ้าน

แต่ไฮไลท์ของบันทึกธรรมเนียมช่วงเทศกาลสงกรานต์ของ หลวงผดุงแคว้นประจันต์ คือบรรยากาศช่วงการเล่นน้ำ หรือการเล่นสาดน้ำกันของหนุ่มสาวชาวอีสานในอดีต ที่ค่อนข้างหนักหน่วง แต่ก็แฝงคติความเชื่อเรื่องของฟ้าฝนเอาไว้ด้วย ความว่า

ฮูปแต้ม “พิธีฮดสรง” ในสิมวัดป่าเรไรย์ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม (ภาพจากหนังสือ “ฮูบแต้มในสิมอีสาน งานศิลป์สองฝั่งโขง” โดย อาจารย์สุมาลี เอกชนนิยม)

“ยังมีการสนุกในนักขัตฤกษ์สงกรานต์อีกอย่างหนึ่ง คือหนุ่มสาว ‘สาดน้ำ’ กัน การที่สาดน้ำกันนี้ เล่นสกปรกโสมมอย่างเอก คือไม่เลือกน้ำที่จะสาด สุดแล้วแต่ได้สิ่งที่จะทำให้เปื้อนเปรอะ

ป็นต้นว่า ‘โคลนเลน’ หรือ ‘น้ำครำ’ ที่ใต้ถุนซึ่งมีกลิ่นเหม็น ก็เอาเป็นใช้ได้ ถ้าปะเป็นเราที่ไม่เคยถูก บางที่จะทำให้คลื่นเหียนได้ แต่เหตุการณ์ที่จะเกิดทะเลาะวิวาทกันเพราะการสาดน้ำนี้ไม่มีเลย

การที่เล่นสนุกด้วยการสาดน้ำนี้ ​ตั้งแต่หนุ่มและสาวตลอดถึงผู้ใหญ่ไม่เลือกหน้า แม้ภิกษุสงฆ์สามเณรเดินไปพบเข้ากำลังเขาเล่นสาดกันอยู่นั้น เขาก็ไม่ละเว้นให้เลย เว้นแต่รีบหนีไปเสียให้พ้นจึงจะไม่ถูก การที่เล่นสาดน้ำกันนี้เป็นธรรมเนียมถือมาแต่โบราณ ด้วยเข้าใจว่าถ้าปีใดผู้เถ้าผู้แก่และหนุ่มสาวไม่เล่นสาดน้ำ ปีนั้นน้ำฝนมักจะน้อยไป

เขาถือว่าการเล่นสาดน้ำนี้เหมือนดังกิริยาที่พระยานาคเล่นน้ำในสระอโนดาต การเป็นดังนี้ จึงได้นิยมในการเล่นสาดน้ำกันนัก ด้วยถือว่าเพื่อจะทำให้ฝนฟ้าตกบริบูรณ์ในฤดูปีเดือน”

เหล่านี้จึงเป็นบรรยากาศในอดีตของ “สงกรานต์อีสาน” ที่มีทั้งเรื่องของการทำบุญและการละเล่นสนุกสนานผสมกันอย่างลงตัว และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมแต่โบราณของผู้คนในดินแดนแห่งนี้

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

หลวงผดุงแคว้นประจันต์ (จันทร์ อุตตรนคร). ลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ภาคที่ ๑ ลัทธิธรรมเนียมราษฎรภาคอีศาน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ทรงธรรม. ใน ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ. (ออนไลน์)


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 12 เมษายน 2567