30 พ.ค. 1431 “โจนออฟอาร์ก” ไพร่สาวผู้กอบกู้ฝรั่งเศส ถูกเผาทั้งเป็น

โจนออฟอาร์ก 30 พฤษภาคม
ภาพวาด โจนออฟอาร์ก โดย Jean Pichore เมื่อ ค.ศ. 1506

30 พฤษภาคม 1431 “โจนออฟอาร์ก” ไพร่สาวผู้กอบกู้ฝรั่งเศส ถูกเผาทั้งเป็น

นักบุญ โจนออฟอาร์ก (Saint Joan of Arc หรือ Sainte Jeanne d’Arc ในภาษาฝรั่งเศส) เกิดในครอบครัวชาวนาเมื่อปี 1412 ในหมู่บ้านโดมเรมี (Domrémy) ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ระหว่างการทำสงครามกับอังกฤษในสงครามที่เรียกกันว่า “สงครามร้อยปี”

ภาพวาดเซนต์โจนออฟอาร์กระหว่างพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ชาลส์ที่ 7 โดย Jean Auguste Dominique Ingres [Public domain], via Wikimedia Commons

สงครามชิงบัลลังก์

บัลลังก์ของฝรั่งเศสในขณะนั้นอยู่ระหว่างการแย่งชิงระหว่าง มกุฎราชกุมารชาลส์ (Charles ภายหลังคือกษัตริย์ชาลส์ที่ 7) รัชทายาทของกษัตริย์ชาลส์ที่ 6 แห่งราชวงศ์แวลัวส์ (Valois) กับ กษัตริย์เฮนรีที่ 6 แห่งแลงคาสเตอร์ (Langcaster) ของอังกฤษ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับฟิลิปที่ 3 (Philip the Good) ดยุคแห่งเบอร์กันดีที่ครองพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศ

ทั้งนี้ กษัตริย์เฮนรีที่ 6 อ้างสิทธิในบัลลังก์ฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาแห่งทรัวส์ หรือ Treaty of Troyes ซึ่งระบุให้มีการอภิเษกสมรสระหว่างกษัตริย์เฮนรีที่ 5 พระราชบิดาของพระองค์กับแคเธอรีนแห่งแวลัวส์ พระธิดาของกษัตริย์ชาลส์ที่ 6 ของฝรั่งเศส และให้กษัตริย์เฮนรีที่ 5 มีสถานะเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ฝรั่งเศสต่อจากกษัตริย์ชาลส์ที่ 6 แต่การที่กษัตริย์ชาลส์ที่ 6 และกษัตริย์เฮนรีที่ 5 สวรรคตในเวลาไล่เลี่ยกัน และกษัตริย์เฮนรีที่ 6 ของอังกฤษยังอยู่ในวัยแบเบาะ มกุฎราชกุมารชาลส์จึงลุกขึ้นมาอ้างสิทธิสืบบัลลังก์ต่อจากพระราชบิดา

แต่เมื่อกษัตริย์ชาลส์ที่ 6 สวรรคตไปแล้วกว่า 5 ปี มกุฎราชกุมารชาลส์ก็ยังไม่ได้ประกอบพิธีราชาภิเษก เนื่องจากตามราชประเพณี พิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ฝรั่งเศสต้องทำที่เมืองแร็งส์ (Reims) ซึ่งขณะนั้นอยู่ในความยึดครองของศัตรูของพระองค์ ทำให้สถานะในบัลลังก์ของพระองค์ยังไม่มั่นคง

โดมเรมีบ้านเกิดของโจนตั้งอยู่บริเวณชายแดนเขตอำนาจของมกุฎราชกุมารและฝ่ายเบอร์กันดีที่อยู่ข้างอังกฤษ ภายใต้ภาวะที่สั่นคลอนจากความขัดแย้งของสองฝ่าย โจนอ้างว่าเธอได้รับ “เสียงสวรรค์” บอกทางจากนักบุญของชาวคริสต์ 3 ท่านคือ เซนต์ไมเคิล (St. Michael) เซนต์แคเธอรีน แห่งอเล็กซานเดรีย (St. Catherine of Alexandria) และ เซนต์มากาเร็ต แห่งแอนติออค (St. Margaret of Antioch) เพื่อช่วยมกุฎราชกุมารชาลส์ได้ขึ้นครองราชย์

ในเดือนพฤษภาคม 1428 โจนในวัย 16 ปี เดินทางจากบ้านเกิดไปยังวูคูเลอร์ (Vaucouleurs) ที่ตั้งของฐานทัพที่ภักดีต่อชาลส์ที่ใกล้ที่สุดเพื่อขอร่วมรบ แต่ถูกปฏิเสธ เธอเดินทางไปยังวูคูเลอร์อีกครั้งในเดือนมกราคม 1429 ด้วยบุคลิกที่แน่วแน่และเปี่ยมด้วยศรัทธาทำให้เธอได้รับการยอมรับจากเหล่าทหารและได้ร่วมเดินทางไปยังชีนง (Chinon) เพื่อเข้าเฝ้าชาลส์

เบื้องต้นชาลส์ทรงลังเลว่าจะให้โจนได้เข้าเฝ้าหรือไม่ แต่เมื่อผ่านไปสองวันชาลส์ยอมให้เธอเข้าเฝ้า โจนจึงได้บอกความตั้งใจกับพระองค์ว่าเธอต้องการออกรบกับอังกฤษ พร้อมสัญญาว่าจะทำให้พระองค์ได้ประกอบพิธีราชาภิเษกที่เมืองแร็งส์

หลังจากนั้นเธอต้องถูกทดสอบและไต่สวนโดยเหล่านักบวช เธออ้างกับเหล่านักบวชว่า เธอจะพิสูจน์ถึงภารกิจที่เธอได้รับจากสวรรค์ในการสู้รบที่ออร์เลอองส์ (Orleans) ที่กำลังถูกโจมตีโดยอังกฤษมานานหลายเดือน และองค์มกุฎราชกุมารน่าจะทรงได้รับคำแนะนำให้ใช้ประโยชน์จากความพิเศษของเธอในการศึกครั้งนี้

โจนออฟอาร์ก ผู้กล้าหาญ

ชาลส์มอบกำลังทหารกองเล็กๆ ให้กับเธอเพื่อเดินทางไปยังออร์เลอองส์ การมาถึงของเธอพร้อมกับกำลังเสริมและเสบียงช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับเหล่าทหารฝรั่งเศส เธอนำทัพออกรบหลายครั้ง ในการรบเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1429 เธอถูกยิงด้วยธนู แต่หลังจากที่เธอทำแผลไม่นานก็รีบกลับสู่สนามรบสร้างแรงกระตุ้นให้กับทหารฝรั่งเศส และทำให้อังกฤษเสียท่า ตัดสินใจถอนทัพออกจากออร์เลอองส์ในวันถัดมา

ภาพวาดเซนต์โจนออฟอาร์กในยุทธการที่ออร์เลอองส์ [Public domain], via Wikimedia Commons
ในช่วง 5 สัปดาห์หลังจากนั้น ทัพฝรั่งเศสได้ชัยชนะเหนือทัพอังกฤษอย่างต่อเนื่อง ในวันที่ 16 กรกฎาคม กองทัพฝรั่งเศสได้เดินทางไปยังแร็งส์ ซึ่งยอมเปิดประตูเมืองเพื่อต้อนรับโจนและชาลส์ และวันถัดมาชาลส์ได้ประกอบพิธีราชาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ฝรั่งเศสตามราชประเพณี

ศึกครั้งสำคัญถัดมาคือความพยายามบุกยึดปารีสในวันที่ 8 กันยายน โจนเรียกร้องชาวเมืองให้ยอมยกเมืองให้กับกษัตริย์ชาลส์ แต่ความพยายามของเธอไม่เป็นผล เธอถูกเล่นงานได้รับบาดเจ็บแต่ยังพยายามกระตุ้นให้ทหารเดินหน้าบุกต่อไป ก่อนเธอต้องยอมล่าถอยและกษัตริย์ชาลส์มีพระบัญชาให้ถอนทัพ

ศึกสุดท้ายของโจนคือการศึกกับฝ่ายเบอร์กันดีในเมืองคองเพียญน์ (Compiègne) ซึ่งเธอสามารถขับไล่ฝ่ายเบอร์กันดีไว้ได้ 2 ครั้ง แต่สุดท้ายเธอก็ถูกฝ่ายเบอร์กันดีจับตัวไว้ได้ในวันที่ 23 พฤษภาคม 1430 ด้วยความช่วยเหลือจากทัพเสริมของอังกฤษ ก่อนถูกขายให้กับอังกฤษด้วยค่าหัว 10,000 ฟรังส์ โดยมีคณะเทววิทยาแห่งมหาวิทยาลัยปารีสซึ่งเข้าข้างฝ่ายอังกฤษเป็นตัวกลางในการเจรจา ขณะที่กษัตริย์ชาลส์ที่ 7 ก็มิได้พยายามช่วยเหลือเธอแต่อย่างใด เนื่องจากพระองค์กำลังพยายามหาข้อตกลงในการสงบศึกกับฝ่ายเบอร์กันดี

อาชญากรรมของโจนแม้จะเป็นที่รู้กันว่าคือความผิดต่อกษัตริย์แห่งแลงคาสเตอร์ แต่เธอถูกนำตัวขึ้นพิจารณาต่อศาลศาสนา เนื่องจากบรรดานักเทววิทยาแห่งมหาวิทยาลัยปารีสยืนยันให้เอาผิดกับเธอฐานประพฤติตนนอกรีต เนื่องจากความเชื่อของเธอมิได้สอดคล้องกับแนวทางของศาสนจักรในขณะนั้น และการที่เธออ้างว่าสามารถสื่อสารกับพระเจ้าได้โดยตรงผ่านนิมิตหรือเสียงจากสวรรค์ ย่อมเป็นภัยคุกคามต่อบรรดานักบวช และการเล่นงานเธอยังส่งผลสะเทือนไปถึงกษัตริย์ชาลส์ที่ 7 ซึ่งย่อมถูกมองได้ว่าบัลลังก์ของพระองค์ได้มาด้วยความช่วยเหลือของ “แม่มด”

คณะไต่สวนใช้เวลาอยู่นานเพื่อให้โจนยอมรับสารภาพ ในครั้งที่เธอป่วยหนักเธอขอโอกาสที่จะได้รับสารภาพ แต่คำสารภาพของเธอก็มิได้เป็นการยอมรับต่อการปรักปรำตามข้อกล่าวหา คณะไต่สวนจึงข่มขู่ที่จะทำร้ายเธอ โจนประกาศว่าต่อให้ทรมานจนตายก็จะไม่ตอบอย่างอื่น และจะขอยืนยันคำเดิม พร้อมกล่าวต่อไปว่าคำให้การใดๆ ของเธอหลังจากนี้ หากเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นเพราะถูกบิดเบือนด้วยการใช้กำลังบังคับ คณะไต่สวนจึงตัดสินใจส่งตัวโจนไปพิจารณาต่อในศาลอาณาจักร ซึ่งมีอำนาจลงโทษพวกนอกรีตด้วยโทษตายได้

เมื่อได้รู้คำตัดสินว่าจะถูกส่งตัวไปยังศาลอาณาจักร โจนประกาศว่าจะยอมทำทุกอย่างที่ศาสนจักรต้องการ เธอจึงถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต พร้อมคำสั่งให้สวมเสื้อผ้าอย่างผู้หญิง ซึ่งเบื้องต้นเธอยอมปฏิบัติตาม แต่สองสามวันถัดมาคณะไต่สวนได้เดินทางมาพบเธอ และพบว่า เธอสวมเครื่องแต่งกายอย่างผู้ชายอีก เธออ้างว่าเซนต์แคเธอรีนและเซนต์มากาเร็ตได้มาพบและตำหนิว่าทรยศด้วยการยอมรับสารภาพต่อศาสนจักร ทำให้ศาลศาสนาตัดสินว่าเธอประพฤตินอกรีตอีกครั้ง และตัดสินใจส่งตัวโจนต่อศาลอาณาจักร

ในวันที่ 30 พฤษภาคม 1431 ด้วยวัยเพียง 19 ปี โจนถูกเผาทั้งเป็นด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต หลังเหตุการณ์นี้กว่า 20 ปี กษัตริย์ชาลส์ที่ 7 ได้สั่งให้รื้อคดีของโจนขึ้นมาสอบสวนใหม่อีกครั้ง และสุดท้ายพระสันตะปาปาคาลิกส์ตุสที่ 3 (Calixtus III) ก็ได้สั่งให้รื้อการพิจารณาคดีตามฎีกาของครอบครัวของโจน คณะไต่สวนซึ่งพิจารณาคดีระหว่างปี 1455-1456 ได้มีคำสั่งยกคำตัดสินเดิมในปี 1431 และในปี 1920 พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ได้ประกาศให้โจนเป็นนักบุญแห่งคริสตจักรคาทอลิก

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

Vale, Malcolm G.A., Lanhers, Yvonne. “Saint Joan of Arc.” Encyclopædia Britannica. Encyclopædia Britannica Online. Encyclopædia Britannica Inc., 2016. Web. 29 May. 2016 <http://global.britannica.com/biography/Saint-Joan-of-Arc>.

“Joan of Arc martyred.” History. A&E Television Networks. Web. 29 May 2016. <http://www.history.com/this-day-in-history/joan-of-arc-martyred>


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 30 พฤษภาคม 2559