28 เมษายน 2547: เกิดเหตุปะทะอย่างรุนแรงที่ “กรือเซะ” ผู้ก่อเหตุเสียชีวิตรวม 108 ศพ

ทหาร มัสยิดกรือเซะ ปัตตานี หลังจาก เหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ
เจ้าหน้าที่ทหารขณะทำความสะอาดบริเวณมัสยิดกรือเซะในจังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2547 (AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL)

เหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ จังหวัดปัตตานี เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 28 เมษายน 2547 โดยในครั้งนั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ออกปฏิบัติการโจมตีจุดตรวจฐานปฏิบัติการนับ 10 จุด ของเจ้าหน้าที่รัฐในหลายพื้นที่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้เกิดการปะทะกันในหลายจุด เป็นเหตุให้มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บหลายคน ส่วนผู้ก่อเหตุเสียชีวิตรวม 108 ราย กว่า 30 รายถูกสังหารในมัสยิดกรือเซะ มัสยิดที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค

ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นยังคงกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของกลุ่มโจรกระจอกและพวกขี้ยา เช่นเดียวกับเหตุรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้าทั้งการลอบสังหารเจ้าหน้าที่ การเผาโรงเรียน และการวางระเบิดหลายครั้ง ในทางกลับกับ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของรัฐบาลทักษิณกล่าวว่า การโจมตีในครั้งนี้เป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนมุสลิมซึ่งได้รับการฝึกฝนในต่างประเทศ

หลังเกิดเหตุไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างตัวว่าเป็นผู้ลงมือ และไม่มีหลักฐานใดๆ ที่เชื่อมโยงไปถึงกลุ่มก่อการร้ายต่างชาติ ปีเดียวกันนี้ยังเคยเกิดเหตุการณ์คนร้ายบุกปล้นปืนกลาง “ค่ายทหาร” จากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส และมีทหารเสียชีวิต 4 นาย มาแล้ว

ผู้ก่อเหตุโจมตีเจ้าหน้าที่ในเหตุการณ์กรือเซะส่วนใหญ่ป็นวัยรุ่นอายุระหว่าง 15-20 ปี มีอาวุธเพียงแค่มีดพร้า และกริชเท่านั้น หลายคนเหมือนมีเจตนาที่จะตายตั้งแต่แรกทำให้เจ้าหน้าที่ทหารบางรายมองว่าเป็นการโจมตีแบบฆ่าตัวตาย ขณะที่ตัวผู้บงการเจ้าหน้าที่คาดว่าจะเป็นผู้ใหญ่อายุราว 50-60 ปี

ด้านกลุ่มสิทธิมนุษยชนได้โจมตีเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจต่อการปฏิบัติงานในครั้งนี้โดยกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ใช้ข้อมูลข่าวกรองในการวางกับดักเพื่อเพิ่มความเสียหาย แทนที่จะใช้ข้อมูลในการจำกัดการเสียเลือดเสียเนื้อ

“รัฐบาลไม่จำเป็นต้องฆ่าพวกเขา แต่รัฐบาลก็ฆ่าพวกเขาจนหมดอยู่ดี” สุนัย ผาสุก จากกลุ่มฮิวแมนไรท์วอท์ช (Human Rights Watch) กล่าว “พวกเขาไม่จำเป็นต้องถล่มมัสยิดแต่สุดท้ายก็ทำ…นี่คือหนึ่งในสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งสำหรับชาวมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

ฟอรัมเอเชีย (Forum Asia) ออกแถลงการณ์กล่าวว่า “ผู้ก่อเหตุส่วนใหญ่ใช้แค่มีดพร้าและกริชเท่านั้น…ทหารที่มีอาวุธครบมือ และตำรวจที่ได้รับการฝึกฝนเพื่อรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ย่อมสามารถจัดการกับเหตุการณ์ลักษณะนี้ได้อย่างแน่นอน แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่จะต้องฆ่าพวกเขา”

รายงานของนิวยอร์กไทม์อ้างว่า เจ้าหน้าที่รัฐหลายรายกล่าวว่า การตอบโต้อย่างรุนแรงครั้งนี้ก็เพื่อ “สั่งสอน” และกำราบความพยายามที่จะก่อเหตุกบฏในภาคใต้ในภายหน้า แต่ผู้นำชาวมุสลิมในภูมิภาคกลับมองว่าผลของเหตุการณ์น่าจะส่งผลตรงกันข้ามกับเจตนาของเจ้าหน้าที่รัฐ

“ผมเป็นห่วงจริงๆ ว่าเหตุการณ์ในภาคใต้จะยิ่งลุกลามใหญ่โต” อับดุลรอซัค อาลี รองประธานคณะกรรมอิสลามจังหวัดนราธิวาสในขณะนั้นกล่าวกับเดอะเนชั่น “ผลของเหตุการณ์กระทบกับชาวมุสลิมแน่นอน พวกเขาย่อมจะรู้สึกไม่ดีกับเจ้าหน้าที่ และเหตุวุ่นวายก็จะยิ่งดำเนินต่อไปโดยไม่อาจแก้ไขได้”

ขณะที่ สวาสดิ์ สุมาลยศักดิ์ จุฬาราชมนตรี ผู้นำกิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทยในขณะนั้น ได้กล่าวให้การสนับสนุนการตอบโต้อย่างรุนแรงของกองทัพต่อกลุ่มผู้ก่อเหตุที่เข้าไปหลบในมัสยิดว่า “เจ้าหน้าที่ได้พยายามยับยั้งการใช้กำลังในการจัดการกับสถานการณ์อย่างสมควรแล้ว…พวกเขาต้องอดทนและรอคอยเป็นระยะเวลายาวนานนอกมัสยิด”

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

1. “ยะลาคุมเข้มครบรอบ 8 ปีเหตุการณ์ ‘กรือเซะ’ จับตารถยนต์ต้องสงสัย”, มติชนออนไลน์ 28 เม.ย 2555. เว็บ. 28 เม.ย. 2559 <http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1335588328&grpid=03&catid=&subcatid=>

2. Mydans, Seth. “Thai Troops Kill 107 in Repelling Muslim Attackers”, The New York Times 29 Apr. 2004. Web. 28 Apr. 2016. <http://www.nytimes.com/2004/04/29/world/thai-troops-kill-107-in-repelling-muslim-attackers.html?_r=0>

3. Mydans, Seth. “Thailand Sends Troops To Counter New Attacks”, The New York Times 30 Apr. 2004. Web. 28 Apr. 2016. <http://www.nytimes.com/2004/04/30/world/thailand-sends-troops-to-counter-new-attacks.html>


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 28 เมษายน 2559