8 เมษายน 2013 นายกฯหญิงเหล็ก “มาร์กาเรต แธตเชอร์” ผู้กล้าทำ-ไม่สนเสียงวิจารณ์ ถึงแก่อสัญกรรม

มาร์กาเร็ต แธตเชอร์
มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ (Margaret Thatcher) ภาพโดย Jean-Loup GAUTREAU / AFP

มาร์กาเรต แธตเชอร์ (Margaret Thatcher) นักการเมืองพรรคอนุรักษนิยมแห่งอังกฤษ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงปี 1979-1990 เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของยุโรปและคนแรกของอังกฤษ และเป็นผู้นำทางการเมืองที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคนหนึ่งของอังกฤษนับตั้งแต่ยุคของวินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) ผู้นำในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

แธตเชอร์ถือเป็นนักการเมืองที่มีความกล้าตัดสินใจไม่สนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จนทำให้ผู้ที่สนับสนุนเธอยกย่องให้เป็น หญิงเหล็ก เช่นเมื่อครั้งที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์ในรัฐบาลของเอ็ดเวิร์ด ฮีธ (Edward Heath) เธอคือผู้สั่งยกเลิกการแจกนมฟรีให้เด็กนักเรียน ทำให้พรรคแรงงานออกมาเรียกเธอว่า “Thatcher the milk snatcher” (แธตเชอร์ผู้ฉกนม)

แต่แธตเชอร์ก็เป็นผู้เพิ่มจำนวนโรงเรียนระดับมัธยมต้นที่เรียกว่า comprehensive school (เป็นโรงเรียนที่รับเด็กโดยไม่วัดจากผลการศึกษา ความถนัดและฐานะ ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มของพรรคแรงงาน) มากที่สุดอย่างที่ไม่เคยมี รมว. ศึกษาธิการฯ รายใดทำได้มาก่อน ก่อนที่โรงเรียนเหล่านี้จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการผลักดันนโยบายเสรีนิยมใหม่ของเธอ เมื่อเธอได้เป็นนายกรัฐมนตรี

แธตเชอร์ได้ขึ้นเป็นผู้นำพรรคอนุรักษนิยม หลังฮีธประสบความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งติดๆ กัน 2 ครั้งในปี 1974 ก่อนแธตเชอร์พาพรรคได้ชัยชนะในการเลือกตั้งปี 1979 และเริ่มต้นการปฏิรูปประเทศด้วยการเพิ่มเสรีภาพให้เอกชน ลดการควบคุมจากภาครัฐ ลดการแทรกแซงทางเศรษฐกิจ มีการแปรรูปรัฐวิสากิจจำนวนมาก ลดการใช้จ่ายด้านบริการสาธารณะ ทั้งด้านสาธารณสุข และการศึกษา และเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมสหภาพแรงงาน

“แธตเชอริซึม” (Thatcherism) กลายเป็นคำที่ไม่เพียงบ่งบอกถึงนโยบายของสตรีผู้นี้ แต่ยังเป็นสิ่งบ่งบอกถึงมุมมองทั้งด้านศีลธรรม และการแสดงออก ซึ่งมีทั้งความเป็นชาตินิยมสุดโต่ง การเชิดชูผลประโยชน์ของปัจเจก การต่อสู้และเดินหน้าสู่เป้าหมาย โดยไม่มีการประนีประนอม

ผลของนโยบายในสมัยแรกจากการลดหรือเลิกเงื่อนไขในการดำเนินธุรกิจและลดการอุดหนุนเอกชน ทำให้โรงงานที่ขาดประสิทธิภาพล้มหายตายจากไป แต่บริษัทที่มิได้อยู่ในข่ายอีกหลายแห่งก็พลอยโดยหางเลขไปด้วย ทำให้ประเทศมีตัวเลขคนว่างงานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายในเวลาเพียง 2 ปี นับแต่การเข้ารับตำแหน่ง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็เพิ่มเป็น 2 เท่าในเวลาเพียง 14 เดือนเป็นกว่า 20% เมื่อครบวาระในสมัยแรกตัวเลขคนว่างงานได้เพิ่มขึ้นกว่า 3 ล้านคน

ปัญหาคนว่างงาน และการเผชิญหน้าทางสังคม ทำให้ความนิยมของแธตเชอร์ตกต่ำลงมาก จนไม่น่าจะชนะการเลือกตั้งในปี 1983 ได้ แต่ด้วยอานิสงส์จากการได้ชัยชนะในสงครามหมู่เกาะฟอล์กแลนด์กับอาร์เจนตินา และความขัดแย้งภายในของพรรคแรงงาน ทำให้เธอได้ชัยชนะเหนือพรรคแรงงานอย่างท่วมท้น กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย

หลังการเลือกตั้ง แธตเชอร์ต้องเจอกับการนัดหยุดงานของแรงงานเหมืองที่คัดค้านการปิดเหมืองกว่า 20 แห่ง ในปี 1984 ซึ่งกินเวลานานนับปี เธอปฏิเสธทุกข้อเรียกร้องของแรงงานและเป็นฝ่ายได้ชัยชนะ แรงงานเหมืองต้องยอมกลับไปทำงานโดยมิได้สิ่งใดตอบแทน ปีเดียวกันผู้ก่อการร้ายจากกลุ่มกองทัพสาธารณรัฐไอร์แลนด์ได้วางระเบิดในที่ประชุมพรรคอนุรักษนิยม จนทำให้แธตเชอร์เกือบเอาชีวิตไม่รอด

ด้านการเมืองระหว่างประเทศ มาร์กาเรต แธตเชอร์ มีความสำพันธ์อันแนบแน่นกับ โรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ร่วมสมัย ที่มีทัศนคติต่อคอมมิวนิสต์ตรงกันว่าเป็นปีศาจร้ายที่ไม่อาจประนีประนอม จนกระทั่งมิคาอิล กอร์บาชอฟ นักการเมืองสายปฏิรูปก้าวขึ้นเป็นผู้นำของโซเวียตในปี 1985 เธอเคยกล่าวถึงผู้นำโซเวียตว่า “ฉันชอบกอร์บาชอฟนะ เราสามารถทำข้อตกลงร่วมกันได้” จนต่อมาบทบาทของเธอมีส่วนสำคัญที่นำไปสู่การยุติสงครามเย็นของทั้งสองค่าย

ขณะเดียวกัน แธตเชอร์ได้ออกมาคัดค้านการแทรกแซงทางการค้ากับรัฐบาลคนขาวของแอฟริกาใต้ที่ใช้นโยบายแบ่งแยกสีผิว โดยอ้างว่า มาตรการดังกล่าวไม่มีทางได้ผล ทำให้เธอถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงทั้งจากในอังกฤษและนานาชาติ

ในปี 1987 “หญิงเหล็ก” ชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 3 แต่การดำเนินนโยบายเป็นปฏิปักษ์กับประชาคมยุโรป (EC ซึ่งกลายมาเป็นสหภาพยุโรปในปัจจุบัน) ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในพรรคจนรัฐมนตรีอาวุโสหลายคนประกาศลาออกเป็นการประท้วง นอกจากนี้การเปลี่ยนนโยบายภาษีที่ให้จัดเก็บจากบุคคลอย่างเสมอกันโดยไม่คำนึงถึงรายได้ (poll tax) ในปี 1989 ได้กลายเป็นชนวนปลุกการต่อต้านรัฐบาลอย่างรุนแรงบนท้องถนน

ด้วยคะแนนนิยมที่ตกต่ำอย่างหนัก และเกรงว่าแธตเชอร์จะไม่อาจนำชัยให้กับพรรคได้ ในเดือนพฤศจิกายน 1990 พรรคอนุรักษนิยมจึงจัดให้มีการลงคะแนนเลือกผู้นำพรรคใหม่ แธตเชอร์เอาชนะ ไมเคิล เฮเซลไทน์ (Michael Heseltine) อดีตรัฐมนตรีกลาโหม ไปได้ด้วยคะแนน 204 ต่อ 152 เสียง แต่ยังไม่เพียงพอเนื่องจากต้องได้คะแนนเสียงข้างมากเกินกว่า 15% เธอตัดสินใจไม่ลงแข่งรอบสอง ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 1990 แธตเชอร์ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้จอห์น เมเจอร์ (John Major) ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในอีก 6 วันถัดมา

หลังการวางมือ มาร์กาเรต แธตเชอร์ ยังคงมีอิทธิพลภายในพรรคอนุรักษนิยม แต่หลังจากประสบกับปัญหาอาการเส้นเลือดในสมองบ่อยครั้ง เธอจึงเลิกการปราศรัยในที่สาธารณะนับแต่ปี 2002 ซึ่งลูกสาวของเธอเคยออกมาเผยว่า แธตเชอร์เริ่มมีอาการสมองเสื่อมมาตั้งแต่ปี 2000 จากนั้นได้หายหน้าไปจากแวดวงข่าวสาร ก่อนถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 8 เมษายน 2013

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


ข้อมูลจาก :

Encyclopedia Britannica และเว็บไซต์ History


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 8 เมษายน 2560