อำนาจทุนพลิกลิ้นเปลี่ยนรสทำให้คน “ติดหวาน”  

ติดหวาน
เกษตรกรกำลังลำเลียงอ้อย (ภาพจากห้องสมุดภาพมติชน)

เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบขยายเวลาปรับขึ้นอัตราภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาลระยะที่ 3 ออกไปอีกเป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 31 มีนาคม 2566 เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในปัจจุบัน ช่วยให้อุตสาหกรรมเครื่องดื่มมีเวลาในการปรับตัว เพื่อรองรับการปรับขึ้นอัตราภาษีความหวานตามปริมาณน้ำตาลระยะที่ 3 ต่อไป (ข้อมูลจาก “สรรพสามิตขยายเวลาปรับขึ้นภาษีความหวานออกไปอีก 6 เดือน” ประชาชาชาติธุรกิจ, ออนไลน์)

สาเหตุการเก็บ “ภาษีความหวาน” เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอันเกิดจากพฤติกรรม (เช่น โรคความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, หัวใจ ฯลฯ) ซึ่งสาเหตุหนึ่งคือ น้ำตาล หรือการบริโภคอาหารหวานจัด

ซึ่งนอกจากน้ำตาลที่ปริมาณโดยตรง ยังมี “การบริโภคน้ำตาลทางอ้อม” อันเป็นผลมาจากระบบทุนนิยม และอุตสาหกรรมน้ำตาล ที่ อาสา คำภา อธิบายไว้ในหนังสือ“รสไทย (ไม่) แท้” (สนพ.มติชน, พิมพ์ครั้งแรก, ตุลาคม 2565) ดังนี้ (จัดย่อหน้าใหม่และสั่งเน้นคำโดยผู้เขียน)


อำนาจทุนพลิกลิ้นเปลี่ยนรสทำให้คน “ติดหวาน”  

พลังของ “ทุน” ภายใต้ระบบทุนนิยมและการผลิตอุตสาหกรรม นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดนิยามอาหารและวัฒนธรรมการกินอยู่ของประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อย ทั้งนี้ อาจตั้งข้อสังเกตได้ว่า พลังของทุนมักเป็นพันธมิตรกับอำนาจการเมืองหรืออำนาจรัฐจนกลายเป็นโครงสร้างที่สามารถเข้ามาครอบงำบงการชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสังคมได้อย่างแนบเนียน

ตัวอย่างคลาสสิกว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างพลังทุน-อุตสาหกรรม กับผลกระทบต่อวัฒนธรรมการบริโภคและสุขภาวะของประชาชนที่มักถูกหยิบยกเป็นกรณีศึกษาก็เช่น เรื่องอุตสาหกรรมน้ำตาลกับผู้คนในจาไมกา ประเทศเล็กๆ ในหมู่เกาะแคริเบียนที่เคยเป็นอาณานิคมอังกฤษ

อ้อย (ภาพจาก : pixabay)

จาไมกา มีจุดกำเนิดจากการเป็นแหล่งปลูกอ้อยเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมน้ำตาล เพื่อส่งไปขายยังยุโรปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18-19 บรรพบุรุษของชาวจาไมกาล้วนเป็นทาสแอฟริกันที่คนขาวนำเข้ามาเป็นแรงงานในไร่อ้อย [1] ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่เกาะอุตสาหกรรมน้ำตาลทำให้ดินแดนเล็กๆ นี้แทบไม่เหลือพื้นที่เพาะปลูกใดๆ ด้วยเหตุนี้น้ำตาลจึงกลายเป็นวัตถุดิบหลักในวัตนธรรมการบริโภคของชาวจาไมกาไปโดยปริยาย

วัฒนธรรมการบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่สูงมากของพวกเขาเป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นเป็นระยะเวลานับร้อยๆ ปี สิ่งนี้เองคือคำอธิบายว่าเหตุใดชาวจาไมกา จึงมีรูปร่างใหญ่กว่าที่อื่นๆ [2] กระทั่งคนไทยก็รู้จักประเทศจาไมกาด้วยภาพจำแรกๆ จากโฆษณาฟิล์มสีฟูจิ (ที่มีธงไชย แมคอินไตย์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ เมื่อปี พ.ศ. 2533) กับสโลแกนว่า (คนจาไมกา) ตัวเล็ก…กว่าภูเขานิดนึง”

จากประเด็น “น้ำตาล” ในบริบทประวัติศาสตร์สากล สิ่งที่น่าสนใจในความคล้ายคลึงเมื่อมองย้อนกลับมาที่สังคมไทยผ่านงานศึกษาด้านประวัติศาสตร์อาหารของชาติชาย มุกสง (2558) คือการชี้ให้เห็นว่า “รัฐ” และ “ทุน” คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้การบริโภคน้ำตาลของคนไทยอยู่ในปริมาณมากกว่าที่ควรจะเป็น

น้ำตาล (ภาพจาก : pixabay)

สืบเนื่องจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504-2508) ที่สนับสนุนให้มีการปลูกอ้อยซึ่งเป็นพืชเงินสด (cash crop) ที่ให้ผลผลิตเร็วและมีราคาสูงในตลาดโลกเมื่อผ่านกระบวนการผลิตเป็นน้ำตาลทราย

ทว่าในระยะเวลาอันสั้น ผลผลิตอ้อยในตลาดโลกกลับมีมากเกินไป อุตสาหกรรมน้ำตาลประสบภาวะขาดทุน เป็นเหตุให้กลุ่มนักธุรกิจไร่อ้อยที่เข้าถึงอำนาจทางการเมืองพยายามกดดันให้รัฐแก้ปัญหาด้วยการส่งเสริมการบริโภคน้ำตาลภายในประเทศ รัฐบาลจึงตอบสนองด้วยการลดภาษีการผลิตน้ำตาลทราย

ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมอาหารไทยก็ปรับตัว โดยนำน้ำตาลทรายซึ่งราคาถูกกว่าที่ใดๆ ในโลก เข้าไปร่วมในกระบวนการปรุงแต่งอาหารสำเร็จรูป อาทิ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง กาแฟสำเร็จรูป ไอศกรีม อาหารฟาสต์ฟูด ฯลฯ สาเหตุนี้เองที่ทำให้คนไทยเปลี่ยนรูปแบบการบริโภคน้ำตาลในทางตรง (เช่น การปรุงอาหาร ทำขนม ชงกาแฟ) มาเป็นการบริโภคทางอ้อมมากขึ้น [3]

ความเจริญรุ่งเรืองของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มชูกำลังซึ่งเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษ 2500-2510 กระทั่งเจ้าของกิจการสามารถขึ้นชั้นอันดับเศรษฐีเบอร์ต้นๆ ของไทยดูจะเป็นเครื่องบ่งชี้ง่ายๆ ที่สะท้อนภาวะการบริโภคน้ำตาลของคนไทยที่สูงขึ้นอย่างมากตลอดช่วงระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา

ทั้งนี้ สถิติจากการสำรวจภาวะอาหารและโภชนาการของคนไทย พบว่าปริมาณการบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยต่อคนต่อปีของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นจาก 4.3 กิโลกรัม ในปี พ.ศ. 2501 เพิ่มเป็น 11 กิโลกรัม ในปี พ.ศ. 2518 ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 28.5 กิโลกรัม ในปี พ.ศ. 2540 และเพิ่มมากขึ้นไปอีกที่ 39 กิโลกรัม ในปี พ.ศ. 2548

สภาวการณ์นี้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีอัตราเพิ่มขึ้นจาก 56.5 คน ต่อประชากร 1 แสนคน ในปี พ.ศ. 2528 เป็น 109.4 คน ต่อประชากร 1 แสนคน ในปี พ.ศ. 2537 และ 285.4 คน ต่อประชากร 1 แสนคน ในปี พ.ศ. 2543 เช่นเดียวกัน โรคเบาหวานที่มีอัตราเพิ่มขึ้นจาก 33.3 คน ต่อประชากร 1 แสนคน ในปี พ.ศ. 2528 เพิ่มเป็น 91 คน ต่อประชากร 1 แสนคน ในปี พ.ศ. 2537 และ 250.3 คน ต่อประชากร 1 แสนคน ในปี พ.ศ. 2543 [4]

อาจกล่าวได้ว่าสถานการณ์นี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนคนไทยจะเริ่มตระหนักและหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินที่ “ลดหวาน” ตลอดจนแอนตี้ “วัฒนธรรมแดกด่วน” และหันมาใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้นเมื่อช่วงราวทศวรรษ 2540 นี้เอง [5]

แม้การบริโภคน้ำตาลของคนไทยในปริมาณมาก จะเกิดขึ้นจากวิถีการบริโภค “ทางอ้อม” ดังที่กล่าวมา ทว่าสิ่งนี้เองก็ทำให้ร่างกายคุ้นชินและโหยหาน้ำตาลในปริมาณมากกว่าปกติ รสลิ้นของคนไทยร่วมสมัยจึงค่อนไปทาง “ติดหวาน” ส่งผลสืบเนื่องมาถึงการบริโภคน้ำตาล “ทางตรง” ด้วย

ในที่สุด นี่จึงเป็นคำอธิบายว่าเหตุใด “กับข้าวนอกบ้าน” จึงมีรสชาติ “หวานนำ”

ในทางเศรษฐศาสตร์ “กับข้าวติดหวาน” จึงเป็นอุปทานที่ตอบสนองอุปสงค์ตามกลไกตลาด และบนตรรกะนี้ เมื่อผู้คนเปลี่ยนวิถีชีวิตการบริโภค มาเน้นกินข้าวนอกบ้านหรือพึ่งพากับข้าวนอกบ้านมากขึ้น โอกาสที่จะรับน้ำตาลจึงมากขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า เหตุที่อาหารไทยรสชาติ “หวานขึ้นเรื่อยๆ” ยังเป็นเพราะความถดถอยของคุณภาพวัตถุดิบที่ลดลง ไปจนถึงการเพาะปลูกที่เร่งปุ๋ยเร่งยาจนหารสชาติผักไม่เจอ วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดจึงได้แก่การใช้รสจัดและหวานนำเพื่อกลบความด้อยของวัตถุดิบ ผักสดไม่มีความหวานก็เติมน้ำตาล น้ำซุปกระดูกไม่หวานเพราะกระดูกไม่สดก็เติมน้ำตาล [6]

ดังที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าพลังของอำนาจ “ทุน” มีอิทธิพลไม่น้อยต่อการเปลี่ยนแปลง “รสชาติ” อาหารและ “รสลิ้น” คนไทยอย่างซับซ้อน

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เชิงอรรถ :

[1] ชัยจักร ทวยุทธนนท์, “น้ำตาล ความหวานจากหยาดเหงื่อทาส,” Gypzy World (ออนไลน์) เข้าถึงhttps://www.gybzyWorld.com/article/view/899.

[2] ชาติชาย มุกสง, “101 Minutes at Starbucks ครั้งที่ 6 | อาหาร-กาล-กิน,” YouTube (ออนไลน์) เข้าถึงจาก https://www.youtube.com/watch?v=yPZAI7ahats (5 มกราคม 2561).

[3] ชาติชาย มุกสง, “น้ำตาลกับวัฒนธรรมการบริโภครสหวานในสังคมไทย พ.ศ. 2504-2539,” (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548).

[4] “เผยทุนนิยมทำคนไทยเสียนิสัย, ชอบกินฟาสต์ฟูด-น้ำอัดลม,” MGR Online (ออนไลน์) เข้าถึงจาก https://mgronline.com/gol/detail/9490000153981.

[5] ดูกระแสงานเขียนและความรู้ทางวิชาการที่บ่งชี้ถึงกระแสการหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เช่น โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, ปรากฏการณ์ชีวจิตบอกอะไรแก่สังคมไทย (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2542); หรือข้อเขียนประเภทบทความ เช่น บูรณ์, “ปฏิวัติวัฒนธรรม แดกด่วน อาหารเป็นยาตำรับไทย,” ศิลปวัฒนธรรม 19, 10 สิงหาคม 2541) เป็นต้น

[6] คำ ผกา, “หรือความจนคือต้นเหตุของความหวาน? และอีกหลายเหตุผลที่ทําไมอาหารไทยต้องหวานแสบไส้,” The Momentum (ออนไลน์) เข้าถึงจาก https://themomen tum.co/momentum-opinion-history-of-sugar-thai-ep2/.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 กันยายน 2565