เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) แห่งก๊กพิษณุโลก ถึงแก่พิราลัย หลังเป็นกษัตริย์ได้ 7 วันจริงหรือ?

บริเวณ วัดราชบูรณะ และ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก ที่ เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ปกครอง
บริเวณ วัดราชบูรณะ และวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ (พิษณุโลก) (ภาพจากเฟซบุ๊ก : ภาพเก่าเล่าเรื่อง พิษณุโลกพิทยาคม)

เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) แห่ง “เมืองพิษณุโลก” เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจและความสามารถมากคนหนึ่งในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา มีผู้คนเคารพนับถือและยำเกรง เมื่อคราวเสียกรุงครั้งที่ 2 ข้าราชการเก่าในกรุงศรีอยุธยา ก็ไปเข้ากับเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) เป็นอันมาก

ธีระวัฒน์ แสนคำ กล่าวถึงเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ไว้ในบทความ “รัฐพิษณุโลก (?) : สถานะของเมืองพิษณุโลก หลังการล่มสลายของศูนย์อำนาจรัฐกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 2309-13)” ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับกรกฎาคม 2557 ไว้ตอนหนึ่งว่า

เมื่อศูนย์อำนาจรัฐกรุงศรีอยุธยาล่มสลาย เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) พยายามสร้าง “เมืองพิษณุโลก” ขึ้นมาเป็นศูนย์กลางอำนาจในการปกครองไพร่พลที่กำลังระส่ำระสาย พร้อมกับตั้งตนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และจัดระบบการปกครองภายในรัฐตามแบบอย่างระบบศักดินา มีการแต่งตั้งขุนนางขึ้นตามตำแหน่งเหมือนเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยายังดี พร้อมกับบังคับให้บรรดาขุนนางที่แต่งตั้งขึ้น เรียกคำสั่งของตนว่า “พระราชโองการ” ดังปรากฏใน “อภินิหารบรรพบุรุษ” ว่า

“ครั้งนั้นพระเจ้าแผ่นดินเมืองพระพิศณุโลกย์ มีพระราชโองการดำรัสสั่งให้ตั้งสมเด็จพระบรมมหาไปยกาธิบดี ซึ่งเป็นพระชนกนารถของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ เป็นเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ สมุหนายกถือศักดินา 10000 ไร่ พระราชทานเครื่องยศเหมือนเสนาบดีในกรุง ด้วยแต่ก่อนท่านคุ้นเคยกัน เพราะเมืองพระพิศณุโลกย์เป็นหัวเมืองขึ้นในกรมมหาดไทย ท่านได้ว่ากล่าวบังคับบัญชามาแต่ก่อน ท่านได้รับตำแหน่งที่จักรีในเมืองพระพิศณุโลกย์ไม่ช้านัก ก็ทรงพระประชวร ทิวงคตในเมืองพระพิศณุโลกย์ ครั้งนั้นพระเจ้าแผ่นดินพระพิศณุโลกย์ ก็กระทำการฌาปนกิจเผาศพตามตำแหน่งยศเสนาบดี”

ธีระวัฒน์ ระบุว่า ข้อความใน “อภินิหารบรรพบุรุษ” สะท้อนหลายประการ ประการแรก ในเมืองพิษณุโลกมีขุนนางจากกรุงศรีอยุธยาและไพร่พลจำนวนมากหนีสงครามขึ้นมาอยู่เมืองพิษณุโลก ประการที่ 2 เจ้าเมืองพิษณุโลกได้สร้างสัมพันธ์และมีสัมพันธ์อันดีกับขุนนางชั้นสูงในกรุงศรีอยุธยา ส่วน ประการที่ 3 มีการตั้งขุนนาง พระราชทานศักดินา เครื่องยศ และประกอบพิธีศพขุนนางให้สมเกียรติแบบอย่างธรรมเนียมเดิมที่กระทำในกรุงศรีอยุธยา

ทั้งหมดนี้ ล้วนแสดงให้เห็นว่า เจ้าเมืองพิษณุโลก มีความพยายามสร้างอำนาจของตน และจัดการระบบธรรมเนียมปกครองให้เท่าเทียมกับพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา

ผู้เขียนบทความยังกล่าวถึงงาน “การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี” ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่ระบุตอนหนึ่งว่า การตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่ของเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ไม่สามารถที่จะใช้ความเป็นเจ้าเมืองพระยามหานครดำเนินการทางการเมืองได้ เพราะสถานะนี้ไม่มีความหมายนอกเขตเมืองพิษณุโลก ในขณะที่เจ้าพระยาพิษณุโลกต้องการจะมีอำนาจเหนือหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งหมด จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานะของตนเป็นพระมหากษัตริย์ โดยอาศัยตำแหน่งนี้เท่านั้น ที่เจ้าพระยาพิษณุโลกจะมีความหมายต่อผู้นำท้องถิ่นสุโขทัย สวรรคโลก กำแพงเพชร ตาก ฯลฯ ได้

ขอบเขตอำนาจของรัฐพิษณุโลกในเบื้องต้น ด้านตะวันออกคงต่อแดนกับล้านช้างและเมืองเพชรบูรณ์ ด้านใต้ถึงเมืองพิจิตรและเขตเมืองนครสวรรค์ ด้านตะวันตกถึงเขตเมืองสุโขทัย และด้านเหนือถึงเขตเมืองพิชัย

อย่างไรก็ตาม พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวว่า หลังจากเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ประกาศตนเป็นพระมหากษัตริย์ได้ 7 วัน ก็บังเกิดวัณโรคขึ้นในคอถึงแก่พิราลัย

เอกสาร “ปฐมวงศ์” กล่าวถึงสาเหตุว่า เป็นเพราะไม่ได้ทำพิธีราชาภิเษกให้พราหมณ์ครอบก่อน ซึ่งถือว่าเป็นการผิดธรรมเนียม และพยายามอธิบายว่า เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) มีบุญไม่ถึงการเป็นพระมหากษัตริย์ แต่ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับภาษามคธ (ฉบับสมเด็จพระพนรัตน) กล่าวว่า “พระยาพิษณุโลกอยู่ในราชสมบัติ 6 เดือน พระชนมายุได้ 49 ปี ก็เสด็จสวรรคตไปตามยถากรรม”

ผู้เขียนสันนิษฐานว่า เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ไม่ได้ถึงแก่พิราลัยหลังจากประกาศตนเป็นพระมหากษัตริย์ได้ 7 วันอย่างแน่นอน ความในส่วนนี้ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์น่าจะมีความน่าเชื่อถือกว่า

เนื่องจากในจดหมายเหตุจีนได้บันทึกไว้ว่า หูซื่อลู่ (พิษณุโลก) ได้มีพระราชสาส์นไปถวายพระเจ้ากรุงจีน เพื่อขอให้พระองค์ยอมรับตนเป็นพระมหากษัตริย์ที่ถูกต้องของกรุงศรีอยุธยา สืบต่อจากพระมหากษัตริย์พระองค์เดิมที่สิ้นพระชนม์ระหว่างสงคราม และได้ต่อต้านรัฐที่สถาปนาโดย เจิ้นเจ้า (สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) จนเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่พระจักรพรรดิจีนไม่ยอมรับสถานะของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีว่าเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ของกรุงศรีอยุธยา เพราะพระองค์ยังไม่สามารถปราบปรามรัฐอิสระเล็ก ๆ ได้

แสดงว่า เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ยังมีชีวิตอยู่อีกหลายเดือน หลังจากที่ประกาศตนเป็นพระมหากษัตริย์ อาจจะเป็น 6 เดือน หรือมากกว่านั้นก็ได้ และมีความพยายามที่จะติดต่อกับจีน เพื่อให้จักรพรรดิจีนยอมรับในสถานะของตนเองด้วย

หลังจากศูนย์อำนาจรัฐกรุงศรีอยุธยาล่มสลาย ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาก็มี “พระยาตาก” รวบรวมกำลังพลขับไล่กองทัพกรุงอังวะที่เหลืออยู่บางส่วนออกไปได้ แล้วสถาปนาศูนย์อำนาจรัฐขึ้นมาใหม่ที่เมืองธนบุรี และสถาปนาตนเองขึ้นเป็น “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี”

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พยายามขยายอำนาจ เพื่อรวบรวมดินแดนของกรุงศรีอยุธยาเดิมให้กลับมาอยู่ใต้ศูนย์อำนาจรัฐของพระองค์ ทรงนำกำลังออกปราบปรามหัวเมืองต่าง ๆ ที่ตั้งตนเป็นอิสระตามภูมิภาคต่าง ๆ ภายหลังการล่มสลายของศูนย์อำนาจรัฐกรุงศรีอยุธยา โดยเลือกที่จะปราบเมืองพิษณุโลกเป็นแห่งแรกใน พ.ศ. 2311

ทั้งนี้คงเป็นเพราะว่า เมืองพิษณุโลก และหัวเมืองฝ่ายเหนือมีกำลังพลอยู่มาก หากปราบปรามได้ก็จะสามารถใช้เป็นกำลังหลักในการทำสงครามขยายอำนาจของศูนย์อำนาจรัฐกรุงธนบุรีได้

พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวถึงการปราบปราบ เมืองพิษณุโลก ว่า เสด็จยกพลนิกรดำเนินทัพ สรรพด้วยโยธาทหารใหญ่น้อยขึ้นไปปราบเมืองพิสณุโลกยถึงตำบลเกยไชย พญาพิศณุโลกยรู้ประพฤติเหตุ แต่งพลทหารให้หลวงโกษา (ยัง) ยกออกมาตั้งรับ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จนำพลทั้งปวงเข้ารณรงค์ด้วยข้าศึกครั้งนั้น ฝ่ายข้าศึกยิงปืนมาดังห่าฝน ต้องพระชงฆ์เบื้องซ้าย เลียบตัดผิวพระมังสะไป จึงให้ลาดทัพกลับยังกรุงธนบุรีย์” 

ความในพระราชพงศาวดารแสดงให้เห็นว่า อย่างน้อยอำนาจ เมืองพิษณุโลก ก็ขยายลงไปถึงบริเวณตำบลเกยไชย ซึ่งปัจจุบันอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่าน เขตอำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ เหนือเมืองนครสวรรค์ขึ้นมาเล็กน้อย

ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงจำนวนกำลังพลและอาวุธของเมืองพิษณุโลกว่า มีประสิทธิภาพไม่น้อย จนทำให้กองทัพกรุงธนบุรีต้องถอยทัพกลับไป

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 8 กันยายน 2564