
ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
“พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 (Richard III)” กษัตริย์แห่ง “อังกฤษ” ผู้ร้ายในประวัติศาสตร์ สั่งกำจัดพระนัดดาวัยเด็กที่ถูกขังจริงหรือ?
ภาพจำของพระองค์ ในหมู่ชาวอังกฤษรุ่นหลัง ส่วนใหญ่จดจำกษัตริย์อังกฤษพระองค์นี้ในสถานะ “วายร้าย” สืบเนื่องมาจากข้อมูลในบันทึกเก่าแก่ไปจนถึงผลงานของวิลเลียม เช็กสเปียร์ นักเขียนชื่อก้องโลก ภาพจำที่ฝังแน่นในหมู่คนรุ่นหลังมากที่สุดคือพระองค์ อยู่เบื้องหลังการสังหารพระนัดดาวัยเยาว์ 2 พระองค์ที่ถูกขังบนหอคอย หรือที่เรียกกันว่า “สองเจ้าชายบนหอคอย”
หนึ่งในกษัตริย์แห่ง “สงครามดอกกุหลาบ”
พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 เป็นอีกหนึ่งกษัตริย์ที่นักประวัติศาสตร์ถกเถียงกันเกี่ยวกับข้อมูลมากที่สุดอีกพระองค์หนึ่ง นับตั้งแต่การก่อตัวของราชวงศ์ทิวดอร์ (Tudor) ข้อมูลซึ่งบอกเล่าเกี่ยวกับพระองค์ ล้วนออกมาในเชิงว่า พระองค์สามารถกระทำการใดๆ ก็ตามเพื่อรักษาพระราชบัลลังก์เอาไว้ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นลักษณะนิสัยที่แตกต่างจากภาพลักษณ์ภายนอก หากเทียบกับภาพวาดเสมือนของพระองค์ที่ดูแล้วมีรูปโฉมงดงาม
ข้อมูลที่ย้อนแย้งอีกประการเกี่ยวเรื่องนี้มาจากเนื้อหาในงานประพันธ์ของวิลเลียม เช็กสเปียร์ (William Shakespeare) ซึ่งฉายภาพว่า พระวรกายของพระองค์ผิดรูปทรง (นักแปลบางท่านตีความว่า “หลังค่อม” แต่หลักฐานจากการตรวจสอบโครงกระดูกที่เชื่อว่าเป็นร่างของพระองค์ในภายหลังชี้ว่า เป็นสภาวะพระอังสาสองข้างไม่เสมอกันจากภาวะ “กระดูกสันหลังคดช่วงวัยรุ่น”)
จากข้อมูลที่นักประวัติศาสตร์รวบรวมไว้ พระองค์ครองราชย์สั้นๆ ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 อังกฤษ ในช่วงเวลานั้นเป็นที่จดจำจากยุคการแย่งชิงอำนาจอย่างดุเดือดระหว่างราชวงศ์ยอร์ก กับราชวงศ์แลงแคสเตอร์ หรือที่เรียกว่า “สงครามดอกกุหลาบ” นักประวัติศาสตร์บางรายรวบรวมข้อมูลได้ว่า ทั้ง 2 ฝ่ายทำสงครามรบพุ่งกัน 17 ครั้งภายในห้วงเวลา 32 ปี ระหว่าง ค.ศ. 1455-1487 ท้ายที่สุดเป็นฝั่งแลงแคสเตอร์ เป็นผู้ได้ชัยชนะ นำมาสู่ราชวงศ์ทิวดอร์ในเวลาต่อมา
ส่วน “ริชาร์ดที่ 3” คือกษัตริย์อังกฤษองค์สุดท้ายของราชวงศ์ยอร์ก สวรรคตในสนามรบ

กษัตริย์ทรราช?
นิธินันท์ ยอแสงรัตน์ นักเขียนและผู้เขียนบทความ “ริชาร์ดที่ 3 แห่งยอร์ก กุหลาบขาวเปื้อนเลือดหรือถูกป้ายสีเลือด? ข้อกังขาในประวัติศาสตร์ราชวงศ์อังกฤษ” ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมีนาคม 2558 บรรยายภาพจำของพระองค์ในแง่การเมืองการปกครองอีกว่า
“พระองค์ทรงได้รับฉายาว่า ‘กษัตริย์ทรราช’ จากข่าวลือที่ว่าพระองค์ทรงทรยศความไว้วางพระราชหฤทัยของกษัตริย์องค์ก่อนหน้า (พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 – กองบก.ออนไลน์) ผู้เป็นพระเชษฐา ซึ่งสวรรคตพร้อมคำสั่งเสียให้พระองค์ช่วยดูแลพระนัดดาสองพี่น้องซึ่งเป็นยุวกษัตริย์และพระอุปราช แต่พระองค์กลับปลงพระชนม์พระนัดดาให้เป็นผีเฝ้าหอคอยแห่งลอนดอน แล้วตั้งตัวเป็นกษัตริย์เสียเอง
เมื่อพระองค์สวรรคตอย่างอนาถในสนามรบทุ่งบอสเวิร์ธ จึงไม่มีใครเหลียวแลพระศพซึ่งถูกถอดเกราะและเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า ลากประจานไปทั่วเมือง ยากจะหาหลักฐานว่าถูกฝังหรือถูกโยนทิ้งลงแม่น้ำ
มีบางคนไม่เชื่อข่าวลือนี้ และว่า เมื่อประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ พระองค์ซึ่งถูกสังหารในสนามรบทุ่งบอสเวิร์ธโดยขุนนางเฮนรี่ ทิวดอร์ ผู้ต่อมาจะเป็นพระเจ้าเฮนรี่ที่ 7 แห่งราชวงศ์ทิวดอร์ อาจถูกใส่ร้ายป้ายสีก็เป็นได้”
คำเล่าลือเรื่องพระองค์อยู่เบื้องหลังการสังหารพระนัดดาสองพี่น้อง ซึ่งเป็นยุวกษัตริย์และพระอุปราช (พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 วัย 12 ปี และริชาร์ด ดยุคแห่งยอร์ค พระอนุชาวัย 9 ปี) ขณะถูกคุมขังในหอคอยแห่งลอนดอน ส่วนหนึ่งมาจากเนื้อหาในงานเขียนประวัติของ “ริชาร์ดที่ 3” ชื่อ “ประวัติของพระเจ้าริชาร์ดที่ 3” (The History of King Richard III) โดย เซอร์โธมัส มอร์ (Sir Thomas More)
ช่วงที่งานเขียนของเซอร์โธมัส มอร์ นักการเมืองและนักปรัชญาที่มีชื่อเสียงได้รับความสนใจคือราว ค.ศ. 1513 ข้อกล่าวหาพระองค์ กรณีการปลงพระชนม์พระนัดดาทั้งสองถูกนักประวัติศาสตร์ตั้งข้อสงสัยเช่นเดียวกับข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับพระองค์
อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์บางรายในยุคปัจจุบันที่ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมแบบเจาะจงเฉพาะข้อกล่าวหาเรื่องสังหาร “เจ้าชายบนหอคอย” พบว่า ข้อกล่าวหานี้มีแนวโน้มเป็นความจริง
งานศึกษาของทิม ธอร์นตัน (Tim Thornton) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยฮัดเดอร์สฟิลด์ (University of Huddersfield) ตีพิมพ์ในวารสาร “ประวัติศาสตร์” (History) โดยสมาคมประวัติศาสตร์ และบ. จอห์น ไวลีย์ และบุตร จำกัด (The Historical Association and John Wiley & Sons Ltd) ฉบับเผยแพร่เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2020
ในขณะที่เหล่าผู้ปกป้อง “ริชาร์ดที่ 3” ตั้งข้อสังเกตว่า ข้อกล่าวหาเรื่องนี้ขาดหลักฐานที่มีน้ำหนัก แต่งานศึกษาของธอร์นตัน อธิบายว่า เขาพบสิ่งบ่งชี้ที่ทำให้เชื่อว่า เซอร์โธมัส มอร์ (เจ้าของงานเขียนที่ระบุชื่อผู้เกี่ยวข้องกับการสังหาร) มีคนรู้จักเป็นลูกชายของหนึ่งในนักฆ่าที่ได้รับว่าจ้างให้ลงมือสังหาร พร้อมสรุปว่า มอร์ ค้นพบเบื้องหลังการสังหารจากบุคคลที่รู้จักเหล่านี้
ในงานเขียนของเซอร์โธมัส มอร์ เขาระบุว่า ผู้ลงมือ 2 ราย คือ ไมล์ส ฟอเรสต์ (Miles Forest) และ จอห์น ไดจ์หตัน (John Dighton) มอร์ กล่าวอ้างว่า ทั้งคู่ถูกว่าจ้างโดยเซอร์ เจมส์ ไทเรลล์ (Sir James Tyrell) คนรับใช้ที่รับคำสั่งจาก “ริชาร์ดที่ 3”
ศาสตราจารย์ทิม ธอร์นตัน อธิบายใน แถลงการณ์ จากมหาวิทยาลัยฮัดเดอร์สฟิลด์ (University of Huddersfield) สถาบันต้นสังกัดว่า “ข้าพเจ้าพบว่า ลูกชายของผู้อยู่เบื้องหลังของฆาตกรมีชื่ออยู่ในแวดวงราชการในราชสำนักของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่ง อังกฤษ พวกเขามีชีวิตและทำงานไปพร้อมกับเซอร์โธมัส มอร์
เซอร์โธมัส ไม่ได้เขียนชื่อบุคคลขึ้นมาจากจินตนาการ เรามีข้อมูลที่พอจะเป็นรากฐานอันทำให้เชื่อได้ว่ารายละเอียดในงานเขียนของเซอร์โธมัส เป็นเรื่องเชื่อถือได้”

เซอร์โธมัส มอร์ ได้รับแต่งตั้งจากพระเจ้าเฮนรีที่ 8 เป็นเสนาบดีในปี 1529 แสดงให้เห็นว่า เขาเป็นที่ไว้วางใจของราชวงศ์ทิวดอร์ (ในช่วงหนึ่งเท่านั้น) ที่ผ่านมา นักประวัติศาสตร์บางส่วนวิจารณ์งานเขียนของเซอร์โธมัส มอร์ ว่า เขาให้ร้ายพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ตามคำสั่งของราชวงศ์ทิวดอร์ (พระเจ้าเฮนรีที่ 7 และพระเจ้าเฮนรีที่ 8) ซึ่งอาจต้องการสร้างภาพของราชวงศ์ก่อนหน้าให้เป็นเชิงลบ
ชะตากรรมของยุวกษัตริย์ในหอคอยแห่งลอนดอน เป็นหัวข้อที่นักประวัติศาสตร์ให้ความสนใจมาหลายทศวรรษ เมื่อปี 1670 หัวข้อนี้เป็นที่ฮือฮาจากเหตุการณ์พบโครงกระดูกเด็กชาย 2 คนในหอคอยแห่งลอนดอน และในทศวรรษ 1930 ก็เพิ่งนำสิ่งที่พบกลับมาชันสูตรตามหลักวิทยาศาสตร์อีกครั้ง
จากงานศึกษาของทิม ธอร์นตัน ที่เขาพยายามยกว่าเซอร์โธมัส มอร์ มีแหล่งข่าววงในที่มีตัวตนจริง กรณีนี้เป็นอีกหนึ่งความคืบหน้าที่บ่งชี้น้ำหนักฝั่งความเชื่อว่าพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 อยู่เบื้องหลังมากกว่า แน่นอนว่า ข้อเสนอนี้ยังไม่ได้เป็นข้อเสนอที่จะปิดฉากการศึกษา จนสามารถสรุปเหตุการณ์ได้อย่างแน่ชัด
ในทางการศึกษาประวัติศาสตร์แล้ว กรณีนี้จะยังเป็นอีกหนึ่งปริศนาอันดำมืดไปจนกว่าจะปรากฏหลักฐานเพิ่มเติมที่พอจะประกอบกันแล้วมีน้ำหนักเพียงพอให้ฟันธงข้อสรุปได้
อ่านเพิ่มเติม :
- เรื่องจริงต้นฉบับ Game Of Thrones “สงครามดอกกุหลาบ” 30 ปี ชิงอำนาจ-ทรยศ-แปรพักตร์
- การค้นพบโครงกระดูกพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ใต้ลานจอดรถเมืองเลสเตอร์ หลังสาบสูญกว่า 500 ปี
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2564