ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
“บวชหนีภัย” การเมือง เป็นสิ่งหนึ่งที่ปรากฏเป็นระยะในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยใช้พระพุทธศาสนาและผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ เป็นที่พึ่งพำนักให้พ้นภัยอุปัทวันตราย
กรณี บวชหนีภัย ทางการเมือง ที่เป็นที่รับรู้กันมากที่สุดคือ พระเฑียรราชา โดยหลังจากพระไชยราชาสวรรคตและถวายพระเพลิงพระบรมศพเสร็จแล้วนั้น พงศาวดารระบุว่า “…ฝ่ายพระเทียรราชาราชซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์สมเด็จพระไชยราชานั้น จึ่งดำริว่า ครั้นกูอยู่ในฆราวาส บัดนี้เห็นภัยจะบังเกิดมีเป็นมั่นคง ไม่เห็นสิ่งใดที่จะเป็นที่พึ่งได้ เห็นแต่พระพุทธศาสนาและผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์ จะเป็นที่พำนักพ้นภัยอุปัทวันตราย ครั้นดำริแล้วก็ออกไปอุปสมบถเป็นภิกษุภาวะอยู่ ณ (วัด) ราชประดิษฐาน”
พระองค์ทรงบวชเพื่อหลบหนีจากภัยทางการเมือง โดยทรงรอเวลาในการรวบรวมกำลังไพร่พลที่จะสนับสนุนพระองค์ให้พร้อม ก่อนกำจัดขุนวรวงศาธิราช แล้วครองราชย์เป็น สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ในเวลาต่อมา พระองค์ก็ได้ทรงสละราชสมบัติให้ สมเด็จพระมหินทราธิราช พระราชโอรส แล้วทรงบวชอีกครั้ง พระองค์ทรงบวชเพื่อหนีความวุ่นวาย มีพระราชประสงค์หาความสงบ โดยมีขุนนางออกบวชตามจำนวนมาก โดยนัยหนึ่งเพื่อเปิดโอกาสทางการเมืองให้ขุนนางกลุ่มใหม่ของพระราชโอรส เข้าบริหารแทนที่ขุนนางเก่าของพระองค์
บวชหนีภัย อีกกรณีคือในสมัย สมเด็จพระนารายณ์ ช่วงปลายรัชกาลก่อนที่พระองค์จะสวรรคต พระองค์ทรงถวายพระราชวังลพบุรีให้เป็นเขตพุทธาวาส และให้ขุนนางที่ใกล้ชิดบวชเพื่อหลบหนีจากภัยทางการเมือง เพราะทรงทราบว่า พระเพทราชา กำลังวางแผนยึดราชสมบัติ จึงมีพระราชโองการให้ขุนนางที่ใกล้ชิดให้มาเข้าเฝ้า
“จึงมีพระราชดารัสให้หาบรรดาชาวที่ชาววังซึ่งเป็นข้าหลวงเดิมประมาณสิบห้าคนเข้ามาเฝ้าในพระมหาปราสาทที่นั่งสุธาสวรรย์ที่เสด็จทรงพระประชวรอยู่แล้วนั้น จึงมีพระราชโองการตรัสว่า บัดนี้ อ้ายสองคนพ่อลูกมันคิดการเป็นกบฏ ฝ่ายเราก็ป่วยทุพลภาพหนักอยู่แล้ว เห็นชีวิตจะไม่ตลอดไปจนสามวัน และซึ่งท่านทั้งหลายจะอยู่ในฆราวาสนั้นเห็นว่า อ้ายกบฏพ่อลูกมันจะฆ่าเสียสิ้น อย่าอยู่เป็นคฤหัสถ์เลย จงบวชในพระบวรพุทธศาสนา เอาธงชัยพระอรหันต์เป็นที่พึ่งเถิดจะได้พ้นภัย”
ในสมัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ เมื่อพระองค์สวรรคต เจ้าฟ้านเรนทร พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ทรงไม่ลาสิกขาออกมารับราชสมบัติ ตามที่พระราชพงศาวดารระบุว่า “เจ้าฟ้านเรนทรซึ่งเป็นกรมขุนสุรเรนทรพิทักษ์เป็นภิกษุภาวะ เมื่อมิได้รับซึ่งราชสมบัติ จึงมิได้ลาผนวชออก”
ทั้งนี้ก็เพราะ เจ้าฟ้าพร ที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ผู้เป็นอา ทรงมีพระราชอำนาจมากประการหนึ่ง มีความเหมาะสมเป็นผู้มีสิทธิครองราชสมบัติที่สุดประการหนึ่ง เจ้าฟ้านเรนทรจึงทรงบวชต่อไป เพื่อหลบหนีจากภัยทางการเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทั้งนี้ ทั้งสองพระองค์มีความสัมพันธ์อา-หลานอย่างใกล้ชิดสนิทสนมกันมากพอสมควร
ในสมัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ก็มีเหตุการณ์การบวชเพื่อหลบหนีจากภัยทางการเมืองเช่นกัน กรณีนี้คือ เจ้าฟ้ากุ้ง พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เรื่องนี้สืบเนื่องจากความสัมพันธ์อา-หลาน ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกับเจ้าฟ้านเรนทร (ซึ่งทรวงบวชเป็นพระอยู่) ใกล้ชิดกันมาก จนเกิดข่าวลือว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจะถวายราชสมบัติให้เจ้าฟ้านเรนทร
จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าฟ้านเรนทรถูกเจ้าฟ้ากุ้งลอบทำร้ายถึงในพระราชวังหลวง ทำให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงพิโรธอย่างมาก กรมหลวงอภัยนุชิต ผู้ทรงเป็นพระราชมาดาของเจ้าฟ้ากุ้ง จึงทรงรีบพาเจ้าฟ้ากุ้งขึ้นไปหลบในพระวอแล้วพาออกไปยังวัดโคกแสง แล้วให้เจ้าฟ้ากุ้งทรง “บวชหนีภัย” ที่วัดนั้น เพื่อไม่ให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศลงพระราชอาญา
ปลายยุคกรุงศรีอยุธยามีกรณีที่คุ้นเคยกันดีคือ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร และ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งในช่วงในปลายรัชกาล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงมีพระราชดำรัสให้สมเด็จพระเจ้าเอกทัศทรงบวช เพื่อเลี่ยงการกระทบกระทั่งทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นระหว่างพี่-น้อง
พงศาวดารระบุว่า “จึงดำรัสสั่งเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี (สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ) ว่า จงไปบวชเสียอย่าให้กีดขวางเลย เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีมิอาจขัดพระราชโองการได้กลัวพระราชอาญาก็ต้องจำพระทัยทูลลาไปทรงผนวช”
หมายความว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศตั้งพระทัยมอบราชสมบัติให้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ดังนั้น สมเด็จพระเจ้าเอกทัศจึงควรยุติบทบาททางการเมืองทั้งหมดด้วยการออกบวชเสีย ครั้นต่อมา สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรครองราชสมบัติแล้ว ก็ถวายราชสมบัติให้สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ แล้วทรงบวชเสด็จไปพำนัก ณ วัดประดู่ ซึ่งการออกบวชในครั้งนี้เพื่อทรงหลีกหนีความวุ่นวายทางการเมือง และใช้พระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งคุ้มกันจากภยันตราย
ขณะเดียวกัน กรมหมื่นเทพพิพิธ พระราชโอรสอีกพระองค์หนึ่งในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ก็จำต้องทรงบวชหลบภัยการเมืองในคราวนี้เช่นกัน จนต่อมาถูกเนรเทศไปอยู่ที่ลังกา
อ่านเพิ่มเติม :
- รู้จัก “เจ้าฟ้านเรนทร” หลานรักพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ผู้รอดโทษประหาร
- นายเต็ง นับถือคริสต์ แต่ถูกบังคับให้บวชพระ สมัย “พระเจ้าท้ายสระ”
- ญาคูสีทัด พระผู้นำการสร้างงานพุทธศิลป์ในพื้นที่สองฝั่งโขง
- ครูบาศรีวิชัย “นั่งหนัก” ในการสร้างถนนขึ้น “ดอยสุเทพ”
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 9 ตุลาคม 2563