ผู้เขียน | คนไกล วงนอก |
---|---|
เผยแพร่ |
“ญาคูสีทัด” มีการเรียกชื่อท่านต่างๆ กันออกไปหลากหลาย เช่น หลวงปู่สีทัด, หลวงพ่อสีทัด พระอาจารย์สีทัด, พระครูสีทัด แม้แต่ชื่อ “สีทัด” ก็เขียนว่า “ศรีทัตถ์” และ “สีทัด” ส่วนคำว่า “ญาคู” คือคำเรียกสมณศักดิ์แบบล้านช้างสำหรับพระเถระที่ได้รับการฮดสรง [1] มาแล้ว 3 ครั้ง
การเรียกชื่อว่า “ญาคูสีทัด” สะท้อนถึงความเป็น “พระครองลาว” ของญาคูสีทัด
ประวัติ ญาคูสีทัด
ญาคูสีทัด ญาณสัมปันโน (พ.ศ. 2408-2483) ชื่อเดิม สีทัด สุวรรณมาโจ เป็นคนบ้านท่าอุเทน คุ้มวัดโพนแก้ว ตำบลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม บิดาคือนายมาก สุวรรณมาโจ มารดาคือนางดา สุวรรณมาโจ มีพี่ชาย 1 คน และน้องสาว 1 คน ลักษณะเด่นของเด็กชายสีทัดคือมีใบหูยาว ใบหน้าเรียวเหมือนใบโพธิ์ จมูกโด่ง แขนขากลม นิ้วก้อยยาวเกือบเสมอนิ้วนาง นอกจากนี้เด็กชายสีทัดยังเป็นผู้ฝักใฝ่ในธรรมะและพระรัตนตรัยตั้งแต่เด็กๆ
เมื่ออายุครบ 20 ปี หรือ พ.ศ. 2428 นายสีทัดก็เข้ารับการอุปสมบทเป็นภิกษุที่วัดโพนแก้ว [2] และได้เล่าเรียนพระธรรมวินัยกับพระอาจารย์ขันธ์ ในเวลาต่อมาพระสีทัดได้ไปศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยกับ “พระอาจารย์ตาดำ” ที่วัดศรีสะเกษ (ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ห่างจากวัดโพนแก้วเพียงไม่กี่ร้อยเมตร) ในการเล่าเรียนที่วัดศรีสะเกษได้เรียนวิชามูลกัจจายนสูตร (การเรียนหลักภาษา) ไม่ว่าจะเป็น สมัญญาภิธาน สนธิ นาม อาขยาต และสมาส ฯลฯ (โดยตำราที่ใช้คือใบลานที่เป็นอักษรธรรมอีสาน และอักษรขอม)
ต่อมาพระสีทัดก็ยังได้เรียนการแปลคัมภีร์ทั้ง 5 คือ 1. พระวินัย 2. ปาจิตตีย์ 3. จุลลวรรค 4. มหาวรรค 5. ปริวารวรรค จนมีความรู้แตกฉาน ทั้งนี้รูปแบบการเล่าเรียนของพระสีทัดดังกล่าวคือส่วนหนึ่งของรูปแบบการเรียนหนังสือในอดีตของ “พระครองลาว” (พระที่ได้รับอิทธิพลจากล้านช้าง)
พระสีทัดยังมุ่งออกจาริกธุดงค์ไปในที่ต่างๆ แถบสองฝั่งโขงอยู่บ่อยครั้งเพื่อแสวงหาความสงบสำหรับการปฏิบัติธรรมและปฏิบัติกัมมัฏฐานของตน การออกจาริกธุดงค์นี้ทำให้ญาคูสีทัดได้พบเจอสถานที่ต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาและต่อความเชื่อของผู้คนสองฝั่งโขง ที่ในเวลาต่อมา ญาคูสีทัดได้นำพาพระสงฆ์และชาวบ้านสร้างงานพุทธศิลป์ที่สำคัญๆ ไว้หลายแห่งในพื้นที่ฝั่งซ้าย-ขวาของแม่น้ำโขง
ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับประวัติของญาคูสีทัดคือ ญาคูสีทัดมีการลาสิกขาจากเพศบรรพชิตถึง 2 ครั้ง และอุปสมบท 3 ครั้ง นั่นเอง ซึ่งโดยทั่วไปการลาสิกขาบ่อยๆ ย่อมถูกมองได้ว่าเป็นผู้โลเลและไม่มั่นคงต่อการปฏิบัติวัตรในพระธรรมวินัย ความเคารพและศรัทธาย่อมน้อยลงตามไปด้วย
แต่สำหรับญาคูสีทัดที่นำพาพระสงฆ์และชาวบ้านก่อสร้างพุทธศิลป์ไม่ว่าจะเป็นสิม (อุโบสถ) หอแจก (ศาลาการเปรียญ) พระธาตุ พระพุทธรูป ฯลฯ ในพื้นที่สองฝั่งโขง เมื่อพิจารณาว่าเวลาร้อยกว่าปีก่อน ที่จำกัดด้วยเทคโนโลยี และการคมนาคม การสร้างงานแต่ละแห่งต้องใช้ทุนทรัพย์ และเวลากันเป็นปีๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ความสำเร็จที่เกิดขึ้นย่อมพิสูจน์ศรัทธามหาชนที่มีต่อ “ญาคูสีทัด” ผลงานพุทธศิลป์สำคัญของท่าน ได้แก่
พระธาตุท่าอุเทน
พ.ศ. 2453 (นับตามปฏิทินเดิม) ญาคูสีทัดได้นำพาพระสงฆ์ และชาวบ้านเริ่มก่อสร้าง “พระธาตุท่าอุเทน” โดยเบื้องต้นมีการขุดหลุมและก่ออูบมุง [3] เตรียมไว้สำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รวมถึงบรรจุแก้ว แหวน เงิน ทองและของมีค่าต่างๆ ระหว่างการก่อสร้างพระธาตุท่าอุเทนนั้น มีข่าวกระจายตัวออกไปอย่างกว้างขวางทั้งในเมืองท่าอุเทน เมืองนครพนม เมืองหนองคาย เมืองสกลนคร เมืองมุกดาหาร และข้ามแม่น้ำโขงไปถึงเมืองหินปูน ในประเทศลาว ฯลฯ
พระสงฆ์ พ่อค้า และชาวบ้าน ที่ทราบข่าวจำนวนมากเดินทางมาที่วัดท่าอุเทนด้วยตนเองเพื่อบริจาคทรัพย์ในการช่วยสร้างพระธาตุ ขณะบางส่วนที่ก็อาสาช่วยเหลือเป็นแรงงานช่วยในงานก่อสร้าง, ทำอาหารการกิน, ช่างฝีมือ ฯลฯ ทำให้การสร้างพระธาตุท่าอุเทนไม่มีการว่าจ้าง หรือมีบอกกล่าวเพื่อเรี่ยไรทรัพย์สมบัติจากชาวบ้านแต่อย่างใด แทบทั้งหมดทั้งการบริจาคทรัพย์ หรือการใช้แรงงานล้วนเกิดจากศรัทธา
พระธาตุท่าอุเทนที่มีฐานของกว้างด้านละ 6 วา 3 ศอก และสูง 33 วา องค์พระธาตุก่อเป็น 3 ชั้น ใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้นถึง 6 ปี จึงแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2459
พระธาตุพุทธบาทบัวบก
หลังก่อสร้างพระธาตุท่าอุเทนแล้วเสร็จ (พ.ศ. 2459) คาดญาคูสีทัดคงออกจาริกธุดงค์เหมือนเช่นที่เคยประพฤติปฏิบัติมา และนำไปสู่การสร้างพระธาตุที่วัดพระพุทธบาทบัวบก (ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี)
ตามประวัติของการสร้างพระธาตุพุทธบาทบัวบกได้ให้รายละเอียดไว้ว่า ญาคูสีทัดเห็นความชำรุดทรุดโทรมของอูบมุงที่สร้างครอบรอยพระพุทธบาท จึงได้นำพาพระสงฆ์และชาวบ้านบูรณปฏิสังขรณ์ โดยการรื้ออูบมุงหลังเดิมออกแล้วลงมือสร้างพระธาตุองค์ใหม่ ที่มีฐานกว้างด้านละ 9.50 เมตร (5 วา 1 ศอก) และสูงประมาณ 45 เมตร (25 วา) ขึ้นทดแทน
การก่อสร้างพระธาตุพุทธบาบัวบกเริ่ม พ.ศ. 2463-2473 ต้องใช้เวลามากถึง 10 ปี เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ที่ตั้งของวัดพระพุทธบาทบัวบก ตั้งอยู่บนลานหินในภูเขาท่ามกลางป่า ห่างไกลชุมชน ถนนหนทางไม่สะดวกต่อการคมนาคมขนส่ง การขนส่งวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ อิฐ หิน ปูน และทราย ฯลฯ จึงใช้เวลานานมากกว่าปกติ กล่าวกันว่าอิฐที่ใช้ในการก่อสร้างพระธาตุต้องเผาที่บ้านติ้ว (ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่เชิงเขาก่อนขึ้นสู่วัดโดยห่างจากวัดประมาณ 5 กิโลเมตร) แล้วค่อยลำเลียงใส่เกวียนขึ้นไปที่วัดพระพุทธบาทบัวบก
การสร้างพระสุกองค์จำลอง
ก่อนหน้าที่ญาคูสีทัดจะมีสร้างพระสุกองค์จำลองนั้น มีประวัติเล่าว่าในรัชกาลที่ 3 หลังเกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ขึ้น หลังการปราบปรามแล้วเสร็จ แม่ทัพสยามได้นำพระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของล้านช้างมาด้วย 3 องค์ คือ พระสุก, พระใส และพระเสริม ขณะที่นำพระทั้งสามองค์ล่องมาในแม่น้ำโขง ได้เกิดพายุลมแรงทำให้พระสุกจมหายไปในแม่น้ำโขง โดยอัญเชิญพระใสไปประดิษฐานที่วัดโพธิ์ชัย เมืองหนองคาย ส่วนพระเสริมนำไปประดิษฐานที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ที่กรุงเทพ ฯ
เอกสารแผ่นพับของวัดศรีคุณเมืองได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ญาคูสีทัดนำพาพระสงฆ์และชาวเมืองหนองคายสร้างพระสุกองค์จำลองขึ้นใน พ.ศ. 2420 [4] และยกย่องญาคูสีทัดในฐานะบุรพาจารย์รูปหนึ่งของวัดเช่นกัน เพราะถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญรูปหนึ่งต่อวัดศรีคุณเมือง โดยญาคูสีทัดนี้เองที่เป็นผู้เปลี่ยนชื่อวัดนี้ จากเดิมที่ชื่อ “วัดป่าขาว” เปลี่ยนเป็น “วัดศรีคุณเมือง” ตามชื่อของอุบาสิกาผู้อุปัฏฐากวัดนี้มาโดยตลอดนั่นคือ “นางคูณ ทวีพาณิชย์”
วัดพระบาทโพนสัน
วัดพระบาทโพนสัน อยู่ห่างจากแม่น้ำโขงไม่ถึง 10 กิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ในเมืองท่าพระบาท แขวงบอลิคำไซ ประเทศลาว วัดแห่งนี้ยังเกี่ยวข้องกับ “ตำนานพระเจ้าเลียบโลก” ว่า พระพุทธเจ้าทรงเสด็จมาประทับเพื่อฉันภัตตาหาร แต่พญานาคเห็นว่าพื้นลานหินดังกล่าวไม่ราบเรียบจึงขดตัวเพื่อดันพื้นดินให้สูงขึ้นเป็นกองดินให้พระพุทธเจ้าฉันภัตตาหารบนเนินดินนั้น ซึ่งภาษาถิ่นอีสานและภาษาลาวเรียก “กองดิน” ที่สูงๆ ว่า “โพน” และออกเสียงคำว่า “ฉันข้าว” ของพระสงฆ์ว่า “สันเข้า” จึงเรียกติดปากกันว่า “พระบาทโพนสัน” ที่หมายถึง “บริเวณที่พระพุทธเจ้าเสด็จฉันภัตตาหารบนกองดิน”
แม้วัดพระพระบาทโพนสัน ญาคูสีทัดไม่ได้มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการสร้างพระธาตุโพนสัน แต่ได้สร้างงานพุทธศิลป์และเสนาสนะจำนวนหนึ่งในวัดพระบาทโพนสัน เช่น สร้างอูบมุงครอบรอยพระบาท, สร้างกุฏิสงฆ์, สร้างสิม (อุโบสถ), สร้างองค์พระประธาน ฯลฯ ดังข้อความที่ปรากฏในประวัติวัดพระบาทโพนสัน ที่ “เกดมะนี โพคำ” นำเสนอไว้ว่า
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 ในบริเวณพระพุทธบาทโพนสันนี้ [อ้าง] อิงตามเกจิ อาจารย์ นักปราชญ์ทั้งหลาย ผู้ตำอิด [คนแรก] ที่ลงมาสร้างสาบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระบาทคือ พระอาจารย์สีทัด ญาณะสัมปัญโญ [ประวัติฉบับวัดพระธาตุท่าอุเทนใช้ “ญาณสัมปันโน”] พ่อแม่สีทัดเป็นผู้นำซ่อมแปงปฏิสังขรณ์ พร้อมด้วยลูกเต้าสิดโยม และประชาชนในแถบอ้อมข้าง…ผลงานที่พ่อแม่สีทัดได้สร้างบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระบาทโพนสัน เช่น สร้างอูบมุงกวม [ครอบ] รอยพระบาท สร้างกุฏิจำนวน 2 หลัง สร้างสิม พระประธานปูนซีเมนต์ขนาดหน้าตัก 2 เมตร สูง 3 เมตร… (พระธาตุท่าอุเทน, 2554: 42)
นอกจากนี้ ใน พ.ศ. 2479 พระอริยคุณาธาร (พระมหาเส็ง ปุสฺโส) เจ้าอาวาสวัดเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น ได้ติดตามเจ้าคณะมณฑลอุดรคือ “พระเทพกวี”(จูม พนฺธุโล) ไปตรวจงานคณะสงฆ์ที่จังหวัดหนองหนองคาย เมื่อถึงเขตอำเภอโพนพิสัย คณะของเจ้าคณะมณฑลอุดรก็พักจำวัดที่วัดโพนเงิน ซึ่งเป็นวัดติดริมแม่น้ำโขง และอยู่ตรงข้ามกับวัดพระบาทโพนสัน รุ่งขึ้นเจ้าคณะมณฑลอุดรพร้อมคณะได้ข้ามฟากแม่น้ำโขงไปที่วัดพระบาทโพนสัน และมีโอกาสสนทนาธรรมกับญาคูสีทัดที่กำลังก่อสร้างอูบมุงครอบรอยพระบาท ดังคำกล่าวของพระอริยคุณาธารดังนี้
เมื่อ พ.ศ. 2479 ข้าพเจ้า [พระอริยคุณาธาร] ได้มีโอกาสติดตามเจ้าคณะมณฑลอุดร ไปตรวจการคณะฯ ทางริมฝั่งแม่น้ำโขง ในเขตจังหวัดหนองคาย ไปถึงบ้านโพนแพง อำเภอโพนพิสัย พักแรมที่วัดโพนเงิน ตรงข้ามกับพระพุทธบาทโพนสัน ในเขตประเทศลาวครั้งนั้นพระอาจารย์สีทัตถ์ กำลังก่อสร้างอุโมงค์ (กะตึบ) คร่อมพระพุทธบาทอยู่ที่นั่น วันรุ่งเช้า เจ้าคณะมณฑลข้ามฟาก (แม่น้ำโขง) ไปเขตประเทศลาว ข้าพเจ้าจึงขอโอกาสสนทนากับพระอาจารย์สีทัตถ์ (ทองทิว สุวรรณทัต, ม.ป.ป.)
การพยายามควบคุมตัว ญาคูสีทัด
ข่าวคราวเกี่ยวกับการสร้างพระธาตุท่าอุเทนของญาคูสีทัดนอกจากจะมีผลดี ในการทำให้มีพระสงฆ์ พ่อค้า และชาวบ้านจากเมืองต่างๆ มาช่วยเหลือและสนับสนุนในการก่อสร้างองค์พระธาตุท่าอุเทนแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งจากข่าวลือดังกล่าว ก็ทำให้ญาคูสีทัดเกือบถูกทางการเข้าควบคุมตัวด้วยข้อหาซ่องสุมผู้คน และทำตัวเป็นผู้วิเศษ
ในระหว่างที่ก่อสร้างพระธาตุท่าอุเทนไปได้ประมาณ 2 ปีเศษ ใน พ.ศ. 2456 พระครูสมุหวรคณิสรสิทธิการ ได้รับมอบหมายจากคณะสงฆ์ที่กรุงเทพฯ ให้เดินทางไปตรวจงานด้านคณะสงฆ์ที่หัวเมืองอีสาน เมื่อพระครูสมุหวรคณิสรสิทธิการเดินทางถึงเมืองหนองคายก็ได้รับทราบข่าวลือเกี่ยวกับญาคูสีทัดว่าเป็นผู้มีอิทธิพล รวมทั้งมีการประพฤติตัวเป็นผู้วิเศษทั้งการล่องหน ย่อแผ่นดิน และหายตัว ฯลฯ และได้ซ่องสุมผู้คนจำนวนมากเพื่อจะขบถต่อกรุงเทพฯ
พระครูสมุหวรคณิสรสิทธิการจึงล่องเรือไปยังเมืองนครพนมเพื่อจะให้มีการดำเนินการควบคุมตัวญาคูสีทัดลงไปสอบสวนที่กรุงเทพฯ เมื่อถึงเมืองท่าอุเทนที่บริเวณท่าวัดกลาง (ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดท่าอุเทนมากนัก) ก็มีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองของเมืองท่าอุเทน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสงฆ์ไปให้การต้อนรับ เพื่อจะไปควบคุมตัวญาคูสีทัด แต่เมื่อใกล้จะถึงวัดท่าอุเทนพระครูสมุหวรคณิสรสิทธิการก็เกิดเปลี่ยนใจไม่กล้าที่จะเข้าไปจึงแวะเข้าพักที่ว่าการเมืองท่าอุเทน โดยให้เหตุผลว่า “กลัวญาคูสีทัดจะสั่งให้ผู้คนทำร้ายตน”
พระครูสมุหวรคณิสรสิทธิการจึงสั่งให้มีโทรเลขถึง “พระพนมนครานุรักษ์” (อุ้ย นาครทรรพ) เจ้าเมืองนครพนม เพื่อให้นำเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาช่วยควบคุมตัวญาคูสีทัดแทนตนเอง พระพนมนครานุรักษ์เดินทางถึงเมืองท่าอุเทนจึงชี้แจงทำความเข้าใจกับพระครูสมุหวรคณิสรสิทธิการว่า
“ท่านญาคูสีทัดไม่ได้คิดซ่องสุมผู้คนเพื่อก่อขบถแต่ประการใด ญาคูสีทัดท่านต้องการสร้างพระธาตุเจดีย์ จึงมีผู้คนจากเมืองต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงมาช่วยเหลือ โดยหวังในบุญกุศลเท่านั้น อีกประการหนึ่ง ญาคูสีทัดเองก็เป็นผู้ตั้งอยู่ในศีลธรรม รักความสงบ ข่าวลือเกี่ยวกับญาคูสีทัดว่าเป็นผู้วิเศษ หายตัว ล่องหนได้นั้น ก็เป็นแต่เพียงข่าวลือ ซึ่งอาจเกิดจากผู้ที่อิจฉาท่านญาคูสีทัด” (เมธี ดวงสงค์,ม.ป.ป.: 68-70)
หลังได้คำชี้แจงยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของญาคูสีทัดจากเจ้าเมืองนครพนม ประกอบกับพระครูสมุหวรคณิสรสิทธิการคงประเมินแล้วว่าเจ้าเมืองนครพนมคงไม่เห็นด้วยสำหรับการที่จะควบคุมตัวญาคูสีทัดเป็นแน่ จึงล่องเรือไปตรวจงานด้านคณะสงฆ์ต่อที่เมืองนครพนมต่อไป
ฝ่ายญาคูสีทัด เมื่อได้รับทราบข่าวสารว่า มีพระครูฯ จากกรุงเทพฯ จะนำเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาควบคุมตัวลงไปสอบสวนที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้ตื่นตระหนก และมีพระสงฆ์ที่เคยไปศึกษาพระปริยัติธรรมแบบกรุงเทพฯ มาก่อนทั้งที่เมืองอุบลราชธานีและที่กรุงเทพฯ ได้แก่ 1. พระอาจารย์ปาน จากเมืองโพนพิสัย 2. พระอาจารย์ยอดแก้ว จากเมืองคำชะอี 3. พระอาจารย์ปิ่น จากเมืองคำชะอี ซึ่งมาช่วยงานก่อสร้างพระธาตุ อาสาที่จะออกหน้าแทนญาคูสีทัดสำหรับการปุจฉาวิสัชนาในข้อสงสัยต่างๆ โดยไม่ต้องให้เดือดร้อนถึงญาคูสีทัด คณะสงฆ์ที่อาสาตนนั้น (เพิ่งอ้าง: 71-72)
ทั้งหมดนั่นทำให้ ญาคูสีทัด ไม่ถูกควบคุมตัวเหมือนกับ ครูบาศรีวิชัย แห่งล้านนา หรือพระพิบูลย์ แห่งเมืองอุดรธานี
ญาคูสีทัดมรณภาพที่วัดพระบาทโพนสัน แขวงบอลิคำไซ ในประเทศลาว ใน พ.ศ. 2483 รวมอายุทั้งสิ้น 75 ปี โดยก่อนมรณภาพญาคูสีทัดสั่งเสียว่าภายหลังการฌาปนกิจ ให้นำเถ้ากระดูกของตนโปรยลงแม่น้ำโขงทั้งหมด
อ่านเพิ่มเติม :
- พระพิบูลย์ วัดพระแท่น พระท้องถิ่นอีสานที่ถูกสั่งคุมตัวจนมรณภาพ
- ครูบาศรีวิชัย : “เจ้าตนบุญแห่งล้านนา” กับความขัดแย้งในคณะสงฆ์
เชิงอรรถ :
[1] ฮดสรง เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญสำหรับการเลื่อนสมณศักดิ์ของพระสงฆ์แถบอีสานในอดีตนั้นต้องผ่านการ “ฮดสรง” หรือ “พิธีเถราภิเษก” โดยชาวบ้านและพระสงฆ์ในชุมชนของตนก่อน แต่ผู้คนในปัจจุบันบางส่วนไม่ได้เคร่งครัด/ไม่ทราบว่า พระครองลาวในอดีตมีการฮดสรงเพื่อเลื่อนสมณศักดิ์ ก็มีเรียกขานพระสงฆ์ที่ควรแก่การเคารพนับถือในอดีต (รวมถึงในปัจจุบัน) ว่า “ญาคู” โดยมุ่งหมายไปที่การให้ความเคารพในแง่ว่าเป็นพระ ครู หรืออาจารย์
[2] บริรักษ์ และเกดมะนี โพคำ ให้ข้อมูลว่า เมื่ออายุครบ 20 ปี ญาคูสีทัดได้เดินทางข้ามโขงไปอุปสมบทกับสมเด็จลุน ที่วัดอินแปง เมืองศรีโคตะบอง ประเทศลาว
[3] อูบมุง หรืออุปมง คือ ศาสนสถานของพุทธศาสนาแบบล้านช้างที่มีลักษณะเป็นอาคารทึบ มักสร้างเป็นอาคารปูน ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงประตูแคบๆ และมักใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบาท หรือพระพุทธรูป หรือใช้เป็นที่เก็บวัตถุมีค่าสำคัญ นอกจากนี้ยังมีการใช้เป็นที่สถานที่ที่พระสงฆ์ใช้เพื่อบำเพ็ญเพียรในระหว่างการเข้าพรรษาอีกด้วย ทั้งนี้อูบมุงไม่ได้สร้างประจำทุกวัด มักสร้างในวัดที่ใหญ่หรือวัดที่สำคัญประจำเมือง โปรดดูใน ธวัช ปุณโณทก. (สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน เล่ม 15. กรุงเทพฯ: สยามเพรส แมนเนจเม้นท์) หน้า 5354.
[4] พ.ศ. 2420 ตัวเลขนี้น่าจะคลาดเคลื่อน เพราะตามข้อมูลญาคูสีทัดเกิดใน พ.ศ. 2408 ย่อมเป็นไปได้น้อยมากที่ญาคูสีทัดในวัยเพียง 12 ปี จะมีบารมีขนาดนำพาพระสงฆ์และชาวบ้านสร้างองค์พระสุกจำลองได้ สำหรับช่วงเวลาที่น่าจะเป็นใกล้เคียงความจริงที่สุดคือ ในกลางทศวรรษ 2470 คือ น่าจะเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีการสร้างองค์พระธาตุพุทธบาทบัวบกแล้วเสร็จ
เอกสารอ้างอิง :
ชนะ วสุรักคะ. (2553, ตุลาคม 3). หลวงปู่ศรีทัตถ์ ญาณสัมปันโน พระเถราจารย์สร้าง 3 พระธาตุ ใน ข่าวสด [Online]. Available: http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXd OVEF6 TURjMU13PT๐= (2556, กรกฎาคม 4)
ทองทิว สุวรรณทัต. (ม.ป.ป.). พระอาจารย์สีทัตถ์.[Online]. Available http://www.dharma-gateway. com/monk/monk_biography/lp-seetud/lp-seetud-hist.htm (2556, กรกฎาคม 10)
ธวัช ปุณโณทก. (2542). อูบมุง. ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน เล่ม 15. หน้า 5354.กรุงเทพฯ: สยามเพรส แมนเนจเม้นท์.
บริรักษ์.(2532). ประวัติพระอาจารย์สีทัตถ์ สุวรรณมาโจ. กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
ปราโมทย์ มาตย์เมือง. มัคนายกวัดพระธาตุท่าอุเทน. สัมภาษณ์ เมื่อ 10 สิงหาคม 2556.
พระโสภณวิหารการ. (ม.ป.ป.). นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 9 ส เสริมมงคลชีวิต. อุดรธานี: ม.ป.ท.
ไผท ภูธาร.(2556). ญาครูสีทัตถ์ วัดพระธาตุท่าอุเทน. ใน เพชร มณีกุล (บก.). เปิดตำนาน พระอภิญศักดิ์สิทธิ์ พระเถระผู้มีฤทธิ์แห่งลุ่มน้ำโขง. หน้า 90-113. กรุงเทพฯ: ทีเอส อินเตอร์พริ้นท์.
พ่อตู้วี พลบุนมี. มัคนายกวัดพระบาทโพนสัน. สัมภาษณ์ เมื่อ 27 พฤษภาคม 2556.
มนต์จันทร์ วงศ์จตุรภัทร. (2542). เส้นทางท่องเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท. ใน อรุณศักดิ์ กิ่งมณี. (บก.). นำชมอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท หน้า 11-32. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์.
เมธี ดวงสงค์. (ม.ป.ป.). ภูมิ – ประวัติศาสตร์ อำเภอท่าอุเทน: เรื่องไทญ้อ และประวัติพระธาตุท่าอุเทน.นครพนม: [ม.ป.ท.].
วรสันต์ กิติศรีวรพันธุ์. (ม.ป.ป.). บูรพาจารย์ไทญ้อ ระเบียบการทำบุญ.นครพนม: [ม.ป.ท.].
วัดพระธาตุท่าอุเทน. (2554). สมโภชพระธาตุท่าอุเทน พุทธศักราช 2454-2554.กรุงเทพฯ: อนันตะ.
วัดศรีคุณเมือง. (ม.ป.ป.). ประวัติหลวงพ่อพระสุก หลวงพ่อเสริม หลวงพ่อใส. เอกสารแผ่นพับ
หมายเหตุ : บทความนี้คัดย่อและเรียบเรียงจาก เชิดชาย บุตดี. “บทบาทญาคูสีทัดต่องานพุทธศิลป์ในพื้นที่สองฝั่งโขง” ใน, ศิลปวัฒนธรรม พฤษภาคม 2557
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2565