ร.ศ. 130 เหตุฝังพระทัย ร.6 “ไม่ตั้ง” กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถเป็นเสนาบดีกลาโหม

สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ และ รัชกาลที่ 6 (ภาพต้นฉบับจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช

เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหม สิ้นพระชนม์ (4 กุมภาพันธ์ 2456) สมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบกในเวลานั้น ทั้งทรงเป็นพระอนุชาร่วมพระราชมารดาเดียวกันกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว น่าจะทรงเป็นบุคคลแรกๆ ที่ทรงแต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหมคนต่อไป แต่การกลับไม่เป็นเช่นนั้น

การแต่งตั้งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม 2 ครั้งต่อจากนั้นล้วน “ข้าม” สมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถไปทั้งสิ้น

ครั้งแรกพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกลับทรงแต่งตั้ง เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (ม.ร.ว. อรุณ ฉัตรกุล) เป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม

ครั้งที่ 2 เมื่อเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (ม.ร.ว. อรุณ ฉัตรกุล) ถึงแก่อนิจกรรมลง ทรงแต่งตั้งเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) ขึ้นเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม

เรื่องทรงแต่งตั้งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมนี้ รัชกาลที่ 6 ทรงให้เหตุผลที่ทรงไม่แต่งตั้งสมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถว่า “เธอหรือก็เป็นผู้มีอิศริยยศใหญ่ในทางเจ้า ซึ่งตามราโชบายของเราไม่สู้จะชอบให้รับตําแหน่งเป็นเสนาบดี

หากจะมองว่า เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตทั้ง 2 คน เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ รับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาตลอดเวลา แต่ในขณะที่รับราชการทหารทั้งสองท่านไม่มีบทบาทในการบริหารราชการกองทัพเท่าใดนัก และต่างก็สําเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยภายในประเทศ ซึ่งการเรียนการสอนยังคงใช้หลักสูตรการเรียนการสอนคงเป็นแบบเดิมๆ

ขณะที่สมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงสําเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยประเทศรัสเซีย โรงเรียนนายร้อยชั้นแนวหน้าของยุโรปในเวลานั้น ด้วยผลการเรียนยอดเยี่ยม เมื่อทรงกลับมารับราชการกองทัพ ก็ทรงเป็นเสนาธิการทหารและเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก นับว่าทรงมีบทบาทสําคัญในการพัฒนากองทัพ ทรงริเริ่มให้มีการออกหนังสือยุทธโกษเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางการทหารให้แก่นักเรียนนายร้อยและนายทหาร, ทรงริเริ่มกิจการการบินภายในประเทศ ฯลฯ นอกจากนี้ยังทรงเป็นที่เคารพนับถือของบรรดาทหารภายในกองทัพ

เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตทั้งสองเองก็ไม่มีบทบาทและอํานาจที่จะทัดทานพระราโชบายต่างๆ ที่สมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถทรงมีในการบริหารกิจการภายในกระทรวงกลาโหม หากจะมีหน้าที่ในราชการกระทรวงกลาโหมก็เพียงแต่การสนับสนุนพระบรมราชโองการในเรื่องต่างๆ เช่น การผ่อนผันให้ข้าราชการ, กิจการเสือป่า, การเป็นผู้แทนทหารในพระราชพิธีต่างๆ ฯลฯ

แล้วทำไมสมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ จึงไม่ได้ “เป็น” เสนาบดีกระทรวงกลาโหม

ปัญหาใหญ่สุดในเรื่องนี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรง “ระแวง” สมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์กบฏ ร.ศ.130 ด้วยทหารส่วนใหญที่ก่อกบฏครั้งนั้น เป็นทหารในสังกัดของกรมทหารมหาดเล็กที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งสมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เป็นผู้บังคับบัญชา และ ร.อ. ขุนทวยหารพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์) หัวหน้าผู้ก่อการกบฏยังเป็นแพทย์ประจําพระองค์ในสมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ

ส่วนหนึ่งของ “คณะ ร.ศ. 130” (ภาพจากปฏิวัติ ร.ศ. 130, สำนักพิมพ์มติชน,2556)

ที่สำคัญคือ สมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เป็นหนึ่งในพระบรมวงศานุวงศ์ ที่คณะผู้ก่อการคิดที่จะทูลเชิญขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แทนรัชกาลที่ 6

แม้การเคลื่อนไหวของกลุ่มทหารหนุ่มดังกล่าวจะล้มเหลว และสมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถทรงมีส่วนสำคัญในการวางแผนจับกุมสมาชิกผู้ก่อการคนสําคัญ นอกจากนี้หลังเหตุการณ์สงบเรียบร้อยพระองค์ทรงมีหนังสือทูลเกล้าฯ กราบบังคมทูลลาออกจากราชการทหาร

แม้รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชหัตถเลขาเป็นการส่วนพระองค์พระราชทานแด่สมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถว่า ทรงมีความไว้วางพระราชหฤทัย แต่ตำแหน่งเสนาบดีของเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิตทั้งสองข้างต้น ก็ชวนให้ตั้งคำถามในเรื่องนี้หรือไม่

หากย้อนกลับไปสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อทรงปฏิรูปการปกครอง ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมล้วนเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ที่พระองค์ทรงไว้วางพระราชหฤทัย เช่น สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม, สมเด็จฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช

เช่นนี้แล้วการที่ สมเด็จฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงไม่ได้ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม อาจมีหลายปัจจัย แต่หนึ่งในนั้นคือ “ทรงระแวง”

 


ข้อมูลจาก

เทพ บุญตานนท์. การเมืองในการทหารไทย, สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งที่ 2,


เผยแพร่ข้อมูลครั้งแรกในระบบออนไลน์เมื่อ 9 ตุลาคม 2563