เขมรยุคพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ผู้ทรงสร้าง “พนมบาแค็ง” ปราสาทหินแห่งเมืองพระนคร

พนมบาแค็ง พระเจ้ายโศวรมันที่ 1
ปราสาทพนมบาแค็ง (phnom bakheng) ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2550 (Photo by TANG CHHIN SOTHY / AFP)

เขมรยุค “พระเจ้ายโศวรมันที่ 1” ผู้ทรงสร้าง “พนมบาแค็ง” ปราสาทหินแห่งเมืองพระนคร

ในบริเวณเมืองเสียมราฐ มีภูเขาที่สําคัญอยู่สามแห่งคือ พนมบาแค็ง พนมกรม และพนมบก

Advertisement

พระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ทรงเลือกสรรเขาพนมบาแค็ง ซึ่งเป็นเขาที่เตี้ยที่สุดในสามแห่งให้เป็นศูนย์กลางของราชธานี โดยทรงก่อสร้างศาสนสถานเหนือเขาแห่งนี้

ส่วนเขาพนมกรมและพนมบกนั้น ศาสนสถานเหนือยอดเขาก็มีแผนผังในลักษณะเดียวกัน โดยก่อสร้างปราสาทด้วยศิลาทรายสามหลัง ถวายเทพเจ้าที่สำคัญสามองค์ อันได้แก่ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ

พระเจ้ายโศวรมันทรงพัฒนาสภาพชีวิตทางศาสนา เช่นเดียวกับสภาพภูมิปัญญาของราชอาณาจักร ด้วยการสร้างศาสนสถานที่สัมพันธ์กับสามศาสนาที่สำคัญ ซึ่งได้แก่ ศาสนาฮินดูลัทธิไศวะนิกาย ศาสนาฮินดูลัทธิไวษณพนิกาย และพุทธศาสนา

ศาสนสถานเหล่านี้มิเพียงแต่จะมีพระสงฆ์เท่านั้น หากมีนักจาริกแสวงบุญและนักศึกษาผู้ต้องการศึกษาทางด้านปรัชญาอย่างลึกซึ้ง

พระเจ้ายโศวรมัน ยังทรงพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจในอาณาบริเวณเมืองพระนครอีกด้วย ทางทิศตะวันออกของเมืองพระนครได้โปรดให้ขุดสระบารายตะวันออก (ยโศธรตฏากะ) ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดมหึมาด้วย มีความยาว 7 กิโลเมตร และกว้าง 1.8 กิโลเมตรตามลําดับ

เพื่อที่จะเชื่อมโยงราชธานีใหม่กับราชธานีเก่าเข้าด้วยกัน พระเจ้ายโศวรมันที่ 1 จึงทรงก่อสร้างถนนจากประตูทิศตะวันออกของเมืองยโศธรปุระ ไปยังมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของบารายแห่งเมืองหริหราลัย

ปราสาทพนมบาแค็ง บนภูเขากลางเมืองพระนคร สถานที่หลอมวมพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 เข้ากับพระอิศวร ตามคติเทวราชา หลังจากเสด็จสวรรคต (ภาพจากหนังสือจักรพรรดิราช ที่พึ่งของมหาชนชาวสยาม)

ราชอาณาจักรเขมรได้พัฒนากว้างใหญ่ยิ่งขึ้นในรัชกาลของพระเจ้ายโศวรมัน พระเจ้ายโศวรมันทรงแผ่ขยายอาณาเขตโดยสันติวิธีไปทางทิศตะวันตก โดยการพัฒนาสภาพของพื้นที่ในบริเวณนั้น

การสงครามเพียงครั้งเดียวที่เราทราบในรัชกาลของพระองค์คือ การมีชัยชนะทางเรือเหนือชาวมาเลย์หรือชาวจาม

พระเจ้ายโศวรมันที่ 1 สิ้นพระชนม์ราว พ.ศ. 1143 ในรัชกาลของพระองค์ตลอดระยะเวลา 11 ปี เป็นสมัยที่เจริญรุ่งเรืองอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน พระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ทรงได้รับพระนามภายหลังสิ้นพระชนม์แล้วว่า “บรมศิวโลก”

พระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ทรงมีโอรสสององค์ ซึ่งได้ครองราชย์สืบต่อลงมาคือ พระเจ้าหรรษวรมันที่ 1 และพระเจ้าอีศานวรมันที่ 2 ใน พ.ศ. 1443 เมื่อพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ พระเจ้าหรรษวรมันคงยังทรงพระเยาว์อยู่มาก กับทั้งยังไม่มีประสบการณ์ในการปกครองมากนัก ด้วยเหตุนั้นตลอดระยะเวลายี่สิบปีแรกในรัชกาลของพระองค์ จึงมิได้ปรากฏราชกิจที่สำคัญแต่ประการใด

ใน พ.ศ. 1464 พระมาตุลาของพระเจ้าหรรษวรมัน ผู้เป็นเชษฐาของมเหสีแห่งพระเจ้ายโศวรมันที่ 1 ซึ่งทรงพระนามว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 4 ได้ยึดอำนาจจากพระนัดดา พระเจ้าชัยวรมันที่ 4 ได้เสด็จจากเมืองยโศธรปุระไปทรงสร้างราชธานีแห่งใหม่ ณ เกาะแกร์ สองปีต่อมาภายหลังที่พระเจ้าหรรษวรมันที่ 1 สิ้นพระชนม์

ปราสาทพนมบาแค็ง (ภาพจากศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2537)

ทว่า ยังคงแบ่งแยกระหว่างกษัตริย์ 2 พระองค์ กษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ตามนิตินัยคือ พระเจ้าอีศานวรมันที่ 2 ประทับที่เมืองพระนคร และกษัตริย์ที่แย่งราชสมบัติคือพระเจ้าชัยวรมันที่ 4 ที่ประทับที่เกาะแกร์

เหตุการณ์ดังกล่าวได้ดำเนินต่อมาจนกระทั่งถึง พ.ศ. 1471 ในปีดังกล่าวพระเจ้าอีศานวรมันที่ 2 สิ้นพระชนม์ จึงทำให้พระเจ้าชัยวรมันที่ 4 ทรงกลายเป็นรัชทายาทของพระองค์

ถึงแม้ว่ากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ที่ทรงพระเยาว์และสิ้นพระชนม์ในวัยฉกรรจ์ก็ตาม รวมทั้งมีการแย่งอำนาจโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 4  แต่ราชอาณาจักรเขมรก็ยังมีความมั่นคงเป็นอย่างดี

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 29 มิถุนายน 2563