
ผู้เขียน | สิทธิโชค ชาวไร่เงิน อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ม.ธรรมศาสตร์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ปัจจุบัน คงไม่มีใครไม่รู้จัก “หน้ากากอนามัย” (surgical mask) อีกแล้ว เพราะในเวลานี้ที่การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั่วโลกเข้าขั้นวิกฤต มันได้กลายเป็นสินค้าขาดตลาดไปแล้ว
ในอดีต การใช้หน้ากากเพื่อป้องกันการติดเชื้อเกิดขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 17
อย่างที่ทราบกัน ในเวลานั้นยุคแห่งกาฬโรค (Black death) กำลังระบาดไปทั่วยุโรป คนกลุ่มหนึ่งที่คอยทำหน้าที่ควบคุมจัดการโรคคือ “หมอโรคระบาด” (Plague doctor) ซึ่งเวลาที่พวกเขาไปทำงาน ก็จะใส่เครื่องแต่งกายที่ประกอบด้วย ผ้าคลุมยาวปกปิดทั้งตัวตั้งแต่หัวถึงเท้า ถุงมือ รองเท้าบูธ หมวกปีกกว้าง และอุปกรณ์ที่สำคัญอย่างหน้ากาก ที่มีรูปร่างคล้ายส่วนหัวของนก
Black Death โรคระบาดครั้งใหญ่ จากจีนถึงไทย สู่ตำนานพระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยา

หน้ากากนี้จะมีจงอยคล้ายปากนกติดอยู่ด้านหน้าและมีซิปรูดเปิด-ปิดได้ด้วย ตรงบริเวณตาจะเป็นทรงกลม เจาะรู มีกระจกกั้นคล้ายแว่นตา แต่สามารถเปิด-ปิดได้ ภายในหน้ากาก โดยเฉพาะบริเวณจงอย หมอโรคระบาดจะใส่บรรดาดอกไม้และสมุนไพรเอาไว้เพื่อไม่ให้อายพิศม์ (miasma) หรือ “อากาศพิษ” ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุของการระบาดของโรคในเวลานั้น เข้าสู่ร่างกายได้ คล้ายกับที่เราใช้หน้ากากอนามัยเพื่อกรองอากาศเสียและฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ในปัจจุบันนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นการใช้หน้ากากป้องกันโรคในวงจำกัดเฉพาะคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่การใช้โดยผู้คนจำนวนมากเริ่มปรากฏชัดในต้นศตวรรษที่ 20 อันเป็นช่วงที่โลกกำลังเผชิญกับ “โรคระบาดแมนจูเรีย” (Manchurian Plague)
การระบาดดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 1910 ในเมืองหลายแห่งที่เป็นเขตรอยต่อระหว่างประเทศจีน รัสเซีย และญี่ปุ่น โดยเริ่มต้นจากเมืองแมนโจวลี (Manzhouli) (ปัจจุบันอยู่ในประเทศมองโกเลีย) แล้วก็ลามไปยังเมืองฮาร์บิน (Harbin) (ปัจจุบันอยู่ในมณฑลเฮยหลงเจียง ประเทศจีน) และระบาดไปยังเมืองอื่น ๆ ที่ทางรถไฟแมนจูเรียสายใต้ (South Manchurian Railway) ตัดผ่าน
ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีอาการเหมือนคนเป็นโรคปอดอักเสบ คือ มีไข้ ไอมีเสมหะ หอบเหนื่อย และที่น่ากลัวที่สุดคืออัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 100 % นั่นแปลว่า ใครก็ตามที่ติดเชื้อล้วนเสียชีวิตทั้งหมด การควบคุมโรคทำได้ยาก เพราะภูมิภาคแมนจูเรียนั้นเป็นพื้นที่สู้รบกันอยู่ระหว่างมหาอำนาจจีน รัสเซีย และญี่ปุ่น ประมาณการกันว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ประมาณ 60,000 คน
ในช่วงเวลานั้น ราชวงศ์ชิงที่ปกครองจีนอยู่ได้แต่งตั้งนายแพทย์หนุ่มเชื้อสายจีนมาเลย์คนหนึ่งให้เป็นหัวหน้าคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาโรคระบาดดังกล่าว เขาชื่อว่า Wu Liande (บางแห่งสะกดว่า Wu Lien-teh ชื่อเดิมคือ Ngoh Lean Tuck เมื่อเดินทางมาจีนเมื่อปี 1908 จึงเปลี่ยนชื่อ)

(ด้านบนคือภาพ Dr. Wu Lien Te (จาก Flickr/ralph repo) สิทธิ์ใช้งานภาพแบบ CC BY 2.0
นายแพทย์ Wu เกิดวันที่ 10 มีนาคม ปี 1879 ที่เมืองปีนัง ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นอาณานิคมหนึ่งของจักรวรรดิอังกฤษอยู่ ในปี 1896 เมื่อเรียนจบชั้นมัธยม เขาก็สอบได้ทุนราชินี (Queen’s Scholarship) ของรัฐบาลอังกฤษไปเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ จนกระทั่งปี 1903 ก็เรียนจบกลับมาทำงานเป็นนักวิจัยที่สถาบันวิจัยทางการแพทย์ ณ เมืองกัวลาลัมเปอร์ โดยความสนใจหลักของเขาในเวลานั้นคือ ผู้ป่วยจากการขาดวิตามินบี 1 และโรคจากพยาธิตัวกลม เขาทำงานที่อยู่นั่นจนกระทั่งปี 1910 สำนักงานกิจการต่างประเทศ (the Foreign Office) ของรัฐบาลราชวงศ์ชิงก็เชิญตัวไปที่เมืองฮาร์บิน เพื่อดูการระบาดโรคที่กำลังเกิดขึ้นอย่างหนัก และท้ายสุดก็แต่งตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าคณะทำงานเพื่อแก้ปัญหานี้
เมื่อได้ศึกษาผู้ป่วยและการระบาดอยู่ช่วงหนึ่ง นายแพทย์ Wu ก็เสนอว่าการระบาดครั้งนี้เกิดจากการติดต่อระหว่างคนสู่คนผ่านฝอยละอองขนาดเล็ก (airborne transmission) จากการที่ผู้ป่วยไอหรือจาม คนในปัจจุบันอย่างเราอาจจะรู้สึกไม่ประหลาดใจกับข้อเสนอนี้ แต่ในเวลานั้นนับว่าเป็นเรื่องใหม่อย่างมากและเป็นการท้าทายทฤษฎีหลักในช่วงดังกล่าวที่เชื่อว่าการระบาดของโรคเกิดจากสัตว์พาหะ เช่น หนู หมัด เลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่เสนอทฤษฎีใหม่ นายแพทย์ Wu ยังเสนอวิธีการป้องกันการระบาดแบบใหม่อีกด้วย นั่นคือ การใส่ “หน้ากากป้องกันโรคระบาด” (Anti-plaque mask) ที่เขาคิดค้นขึ้น ลักษณะของหน้ากากนั้นคล้ายกันมากกับหน้ากากอนามัยในปัจจุบัน กล่าวคือ เป็นผ้าฝ้ายรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดกว้าง 4 นิ้ว ยาว 6 นิ้ว จำนวน 2 ชิ้น ซ้อนกัน คลุมส่วนจมูก ปาก ไปจนถึงคางของผู้ใส่ แล้วใช้ผ้าพันแผลหรือผ้ากอซ (gauze) ขนาดกว้าง 6 นิ้ว ยาว 3 ฟุต พาดลงบนผ้าฝ้ายแล้วพันรอบคอผู้สวม คล้ายกับสายคล้องหูของหน้ากากอนามัยในปัจจุบัน
หน้ากากป้องกันโรคระบาดนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์สวมใส่ในหลายโอกาส ทั้งตรวจรักษาคนไข้ในโรงพยาบาล ในหมู่บ้าน และขณะเผาทำลายศพผู้ป่วย นอกจากนี้ นายแพทย์ Wu ยังให้ผู้ป่วย ผู้ใกล้ชิดผู้ป่วย และประชาชนทั่วไปที่เสี่ยงจะติดเชื้อใส่หน้ากากเช่นกัน
การผลิตและใส่หน้ากากป้องกันโรคระบาดของเจ้าหน้าที่และผู้ป่วยชาวจีนในช่วงเวลาที่โรคระบาดแมนจูเรีย เกิดขึ้นนั้น นับเป็นครั้งแรกของการใช้หน้ากากเพื่อป้องกันการระบาดของโรคในวงกว้าง ในเวลาต่อมาเกือบศตวรรษ แพทย์ พยาบาล และผู้คนทั่วไปในจีน ยังคงใช้หน้ากากป้องกันโรคระบาดที่นายแพทย์ Wu คิดค้นเรื่อยมาตลอด แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปบ้างแต่โดยพื้นฐานองค์ประกอบต่าง ๆ แล้วยังเหมือนเดิม จนกระทั่งเกิดการระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือ “ซาร์ส” (Severe Acute Respiratory Syndrome – SARS) รัฐบาลจีนจึงได้ยกเลิกการใช้หน้ากากป้องกันโรคระบาดทั้งหมด แล้วเปลี่ยนมาใช้หน้ากากอนามัยแบบที่ใช้ในโลกตะวันตกแทน
คลิกอ่านเพิ่มเติม : สมัยร.5 เคยกักคนจากจีน-ฮ่องกงบนเกาะร้าง 9 วัน! ป้องกันกาฬโรคระบาดเข้าสู่สยาม
คลิกอ่านเพิ่มเติม : กาฬโรคระบาด สู่โอกาสให้ “ไอแซก นิวตัน” สร้างแคลคูลัส-เริ่มพัฒนากฎแรงโน้มถ่วง
คลิกอ่านเพิ่มเติม : กำเนิด “โรงพยาบาลโรคติดต่อ” เพื่อรับมือการระบาด ในสมัยรัชกาลที่ 5
เอกสารและเว็บไซต์อ้างอิง
Lynteris, C. (2018). Plague Masks: The Visual Emergence of Anti-Epidemic Personal Protection Equipment. Medical anthropology, 37(6), 442-457.
https://www.sixthtone.com/news/1005177/a-brief-history-of-face-masks-in-china
หมายเหตุ: บทความเผยแพร่ในเว็บไซต์ครั้งแรกในชื่อ กำเนิด “หน้ากากป้องกันโรคระบาด” ยุคราชสำนักจีนรับมือโรคระบาดแมนจูเรีย
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 4 มีนาคม 2563