เผยแพร่ |
---|
การฉายภาพยนตร์ในสยามปรากฏขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2440 เมื่อนาย เอส.จี.มาร์คอฟสกี (S. G. Marchovsky) นำภาพยนตร์ซีเนมาโตกราฟ (Cinematograph) ของชาวปารีส และเชื่อว่าตัวภาพยนตร์และอุปกรณ์ฉายเป็นประดิษฐกรรมของพี่น้องลูเมียร์ (Lumiere) ชาวฝรั่งเศส หลังจากนั้นมาภาพยนตร์ในสยามก็มีพัฒนาการมาตามลำดับ กระทั่งยังเคยถูกใช้เป็นการ “โฆษณาเพื่อให้ราษฎรนิยมการทหาร” ช่วงพ.ศ. 2477 กลายเป็นผลงานเรื่อง “เลือดทหารไทย” ภาพยนตร์สงครามที่สามกองทัพเข้าร่วมถ่ายทำอย่างยิ่งใหญ่
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2438 หลุยส์ ลูเมียร์ ผู้ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มนักประดิษฐ์ที่คิดค้นภาพยนตร์ และคณะของเขาก็นำภาพยนตร์ซีเนมาโตกราฟ ออกฉายเพื่อเก็บค่าชมจากสาธารณชนก่อนใคร โดยจัดแสดงที่ใต้ถุนร้านกาแฟแห่งหนึ่งในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2438 และปรากฏหลักฐานว่า ในปี พ.ศ. 2440 มีการโฆษณาฉายภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ โดม สุขวงศ์ เล่าไว้ในบทความ “85 ปีภาพยนตร์ในประเทศไทย” ว่า คณะฉายภาพยนตร์เร่จากต่างประเทศได้จัดรายการฉายภาพยนตร์ 2-3 ครั้งระหว่างเดือนมิถุนายน (2440) ในกรุงเทพฯ แต่ไม่พบหลักฐาน ไม่มีใครทราบว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด และไม่มีข้อมูลว่าพวกเขาจัดรายการฉายภาพยนตร์ครั้งแรกสุดในกรุงเทพฯที่ไหน และวันใดกันแน่ ขณะที่โฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันก็โผล่มาในวันที่ 9 มิถุนายน ปี 2440 โดยลงแจ้งทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
โฆษณาภาพยนตร์ในนสพ.รายวันครั้งแรกของไทย กับปริศนาของ “มาร์คอฟสกี”
จากการศึกษาค้นคว้าโดยชาญวิทย์ เกษตรศิริ พบว่า ภาพนยตร์ที่ฉายเก็บค่าชมจากสาธารณชนจัดที่โรงละครหม่อมเจ้าอลังการ ตำบลประตูสามยอด ฉายวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2440 หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีพัฒนาการของภาพยนตร์ในประเทศเกิดขึ้นตามลำดับ ในปลายรัชกาลที่ 5 จนถึงต้นรัชกาลที่ 6 เกิดโรงหนังในกรุงเทพฯ ขณะที่โดม สุขวงศ์ เล่าว่า โรงหนังที่เกิดในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 มีจำนวนเกือบ 20 โรง ธุรกิจภาพยนตร์ก็เกิดการแข่งขันกันระหว่างบริษัทต่างๆ
จากหลักฐานที่ค้นพบกันทำให้เห็นว่าในสมัยรัชกาลที่ 7 มีภาพยนตร์ส่วนพระองค์เกือบ 300 ม้วน พระองค์ใช้กล้องขนาด 16 มม. ถ่ายทำด้วยพระองค์ระหว่างเสด็จประพาสในประเทศและนอกประเทศ อีกทั้งยังทรงตั้ง “สมาคมภาพยนตร์สมัครเล่น” เมื่อ พ.ศ. 2473 ฉายภาพยนตร์ส่วนพระองค์ให้สมาชิกชม
เมื่อมาถึงห้วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ไม่นานก็เกิดข้อถกเถียงเรื่องการทำภาพยนตร์ อาทิ ภาพยนตร์สารคดีในเหตุการณ์สำคัญอย่าง การเปลี่ยนแปลงการปกครอง และวันรัฐธรรมนูญ จากการศึกษาของชาญวิทย์ เกษตรศิริ พบว่า ในช่วงทศวรรษที่ 2470 เป็นช่วงที่กิจการสร้างภาพยนตร์ไทยสากลรุ่งเรือง ซึ่งผู้นำในยุคสมัยนั้น รัชกาลที่ 7 (ประสูติ 2436) พระยาพหลฯ (เกิด 2431) หลวงพิบูลสงคราม (เกิด 2440) หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (เกิด 2443) ต่างอยู่ในห้วงของการเติบโตและพัฒนาของภาพยนตร์ ภาพยนตร์จึงมีสถานะหลายรูปแบบตั้งแต่งานอดิเรก ไปจนถึงบทบาทในการประชาสัมพันธ์ของผู้นำดังหลักฐานการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “เลือดทหารไทย” เมื่อ พ.ศ. 2478
จากการสืบค้นของชาญวิทย์ เกษตรศิริ ทำให้พบว่า เอกสารรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 7/2477 เมื่อวันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2477 ณ วังปารุสกวัน มีเนื้อหาว่า “นายนาวาตรีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ (เลขาธิการคณะรัฐมนตรี) เสนอว่า กระทรวงกลาโหมได้ขอให้สำนักงานโฆษณาการช่วยทำภาพยนตร์เพื่อโฆษณาให้ราษฏรนิยมการทหาร…ที่ประชุม(คณะรัฐมนตรี)ตกลงว่าการที่จะทำภาพยนตร์เพื่อการโฆษณาให้ราษฎรนิยมกิจการของกระทรวงต่างๆ นี้ไม่ขัดต่อทางการประการใด และอนุมัติให้สำนักงานโฆษณาการ ดำเนินการต่อไปได้”
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ยังตั้งข้อสังเกตว่า มติดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังห้วงเหตุการณ์กบฏบวรเดช เมื่อตุลาคม พ.ศ. 2476
ภายหลังก็มีอนุมัติให้ดำเนินการได้ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2477 ภาพยนตร์เรื่อง “เลือดทหารไทย” จึงถือกำเนิดขึ้น ชาญวิทย์ อธิบายรายละเอียดของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า
“เลือดทหารไทย เป็นภาพยนตร์ชนิด big production เป็นการร่วมมือกันระหว่างราชการทหารและเอกชน ราชการทหารลงทุนถึง 10,000 บาท … ภาพยนตร์เรื่องนี้มีบริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุง ของตระกูลวสุวัตสร้าง หลวงกลการเจนจิตถ่ายภาพ และขุนวิจิตรมาตราเป็นผู้เขียนบทและกำกับการแสดง น่าเชื่อว่าเค้าโครงเรื่องนั้นคงจะได้รับมาโดยตรงจากหลวงพิบูลสงคราม ซึ่งขณะนั้น ดำรงตำแหนงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และมีนายพันตรี ม.ล. ขาบ กุญชร เป็นผู้แสดงนำฝ่ายชาย”
ภาพยนตร์ใช้เวลาถ่ายทำ 3 เดือน และออกฉายที่ศาลาเฉลิมกรุง เมื่อ 3-8 เมษายน พ.ศ. 2478 และศาลาเฉลิมบุรีเมื่อ 3-4 เมษายน มีคำโฆษณาส่วนหนึ่งว่า “ภาพยนตร์ไทยพูดได้ ของกองโฆษณากองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ แห่งชาติสยาม”
เชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มี 3 กองทัพเข้าร่วมฉากอย่างเต็มที่ ดังที่ปรากฏในบันทึกของขุนวิจิตรมาตราว่า กองทัพบกมีทหารปืนใหญ่ร่วมถ่ายที่ลพบุรี ทหารราบร่วมฉากที่ทุ่งพญาไท ทหารเรือมีถ่ายทำที่สัตหีบ ใช้เรือรบ (เรือพระร่วง) เรือตอร์ปิโด เรือดำน้ำ ส่วนทหารอากาศถ่ายทำที่ดอนเมือง ใช้เครื่องบินแสดงเต็มที่ และในตอนจบ ยังมีฉากสวนสนามในถนนราชดำเนินผ่านประตูชัยพร้อมด้วยข้อความ “เสร็จศึก สบสันต์”
ขุนวิจิตรมาตรา ยังเล่าว่า การถ่ายทำระยะเวลา 3 เดือน “ได้เห็นผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ของเมืองไทย…คือจอมพล ป. พิบูลสงคราม (สมัยนั้นยังเป็นหลวงพิบูลสงครามอยู่)…หลวงประดิษฐ์มนูธรรม…หลวงสินธุ์สงครามชัย…พอดี หลวงประดิษฐ์ฯ มองมาเห็น…ก็ทักว่า ‘อ้อ ขุนวิจิตรมากินอะไรกันซี’ ทันใดนั้นจอมพล ป. กับ หลวงสินธุ์ฯ ก็หันมาร้องว่า ‘มาซี หลวงกลฯ ไปไหนล่ะ’ … ข้าพเจ้าไหว้ท่านทั้ง 3 แล้ว เรือก็ห่างไป”
สำหรับเรื่องย่อของภาพยนตร์ “เลือดทหารไทย” ชาญวิทย์ เกษตรศิริ สืบค้นพบจากหนังสือพิมพ์ “ไทยใหม่” ฉบับวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2477 เล่าถึงบุคคลชายหญิงที่เกี่ยวพันกับราชการทหาร และในช่วงการประกาศสงครามกับชาติฝ่ายตรงข้าม ตัวละครในเรื่องมีชื่อ นายเรือโท ปรีชา นรกุล ต้นปืนเรือสุโขทัย (แสดงโดยนายเรือเอกหลวงประดิยัตนาวายุทธ) ซึ่งกลับกรุงเทพฯ หลัง “การประลองยุทธ์ใหญ่ทางทะเล” นายเรือโท ปรีชา นรกุล เป็นบุตรของนายพลโทพระยานรกุล สมาชิกสภาป้องกันพระราชอาณาจักรในช่วงการเมืองระหว่างประเทศเกี่ยวเนื่องกับแถบภูมิภาคตะวันออก
นายเรือโท ปรีชา มีน้องสาวชื่อ นางสาวพาณี นรกุล ซึ่งอยู่ในความสนใจของหลวงกฤษณะสงคราม
นายเรือโท ปรีชา มีเพื่อนสนิทคือ หลวงสหะนาวิน และนายร้อยโท เฉิด ภักดีพันธ์
เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้นในทางตะวันออก สภาป้องกันพระราชอาณาจักรมีนายพลโทพระยานรกุล เป็นผู้ร่างแผนการป้องกันพระราชอาณาจักร ขณะเดียวกันมีจารชน วางแผนมาขโมยร่างแผนฯในงานทำบุญวันเกิดที่บ้านพระยานรกุล จารชนฉวยร่างแผนไปได้ ในช่วงเวลานั้น พาณี นำหนังสือมาให้หลวงกฤษณะสงคราม รัฐบาลสยามประกาศสงคราม หลวงกฤษณะฯ ถูกเรียกเข้ากรม พาณีจึงขอให้หลวงกฤษณะฯ ไปรบเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ พาณีจะขอรับโทษที่ยิงจารชนรายหนึ่ง
ขณะที่ทั้งคู่เจรจา นายเรือโท ปรีชา ได้ยินตลอด และรับรู้ความรักของทั้งคู่ เมื่อตำรวจมาถึง เขาจึงชิงปืนจากหลวงกฤษณะฯ แล้วรับว่าเป็นผู้ยิงแทน
รุ่งขึ้น เริ่มมีการเตรียมร่วมสงครามอย่างเร่งร้อน นายเรือโท ปรีชา ที่ถูกกักตัวได้รับปล่อยตัวหลังประกาศสงคราม รัฐบาลใช้กฎอัยการศึก พร้อมได้รับคำสั่งให้ประจำเรือยามออกสงครามทันที
การสงครามนั้นเป็นการบอกเล่าสงครามทางเรือเสียมาก ฝ่ายกองทัพบกมีกองพันในบังคับของนายพันตรีหลวงกฤษณะฯ อันเป็นกองพันที่มีชื่อเสียงของสยามได้รับคำสั่งให้ตีหักข้าศึกซึ่งหน้า กองทัพรุกในเวลากลางคืน การรบเป็นไปอย่างสยดสยอง หลวงกฤษณะฯ ผู้บังคับกองพันได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่กองพันก็สามารถยึดที่มั่นข้าศึกได้ รุ่งขึ้นต่อมา กองพันก็ได้รับคำสั่งให้ร่วมกับทหารราบรบกับข้าศึกขั้นแตกหัก และได้รับชัยอย่างงดงาม
กองทัพบกและกองทัพเรือเดินทางกลับพระนครอย่างสง่างาม ได้รับการต้อนรับจากประชาชนพลเมือง
เป็นที่น่าเสียดายว่า ฟิล์ม “เลือดทหารไทย” นั้นถูกไฟไหม้ไป ทำให้นักวิชาการและคนรุ่นหลังไม่สามารถค้นหาภาพยนตร์เรื่องนี้มาชมได้อีก และต้องศึกษาจากข้อเขียน ภาพ และข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ในอดีต
อ้างอิง:
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. ภาพยนตร์กับการเมือง. กรุงเทพฯ : ภูมิปัญญา, 2542.
เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2563