ผู้เขียน | กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม |
---|---|
เผยแพร่ |
มีคำกล่าวของผู้ใหญ่เมื่อต้นรัชกาลที่ 5 อ้างว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน ๆ คือรัชกาลที่ 1-4 ต่างก็ทรงมีคุณสมบัติคนโปรดประจำรัชกาลอยู่ ความว่า
“เมื่อในรัชกาลที่ ๑ นั้น ถ้าใครเข้มแข็งในการศึกสงครามก็เป็นคนโปรด ในรัชกาลที่ ๒ ถ้าเป็นจินตกวีก็เป็นคนโปรด ในรัชกาลที่ ๓ ถ้าใครใจบุญสร้างวัดวาอารามก็เป็นคนโปรด ในรัชกาลที่ ๔ ถ้าใครเรียนรู้ภาษาฝรั่งมากก็เป็นคนโปรด”
เหตุใดเป็นเช่นนั้น? อธิบายพอสังเขปได้ ดังนี้
“รัชกาลที่ 1 นั้น ใครเข้มแข็งในการศึกสงครามก็เป็นคนโปรด”
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นยุคแห่งการสร้างบ้านแปงเมือง เป้าหมายคือฟื้นฟูความรุ่งเรืองครั้งกรุงศรีอยุธยา นอกจากภารกิจการสถาปนากรุงเทพฯ แล้ว การรักษาไว้ซึ่งพระราชอำนาจและปกป้องพระราชอาณาเขตถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะสภาวการณ์ขณะนั้น ไทยยังเผชิญภัยคุกคามจากพม่าอยู่เนือง ๆ มีสงครามครั้งใหญ่ ๆ เช่น สงคราม 9 ทัพ สงครามท่าดินแดง ดังนั้น แม่ทัพ หรือขุนศึกที่เชี่ยวชาญในการรบจึงเป็นที่โปรดปรานในสมัยรัชกาลที่ 1

“รัชกาลที่ 2 ถ้าเป็นจินตกวีก็เป็นคนโปรด”
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นช่วงเวลาที่ศึกข้างพม่าและการสงครามกับดินแดนข้างเคียงเสื่อมซาลงไปบ้างแล้ว ทั้งพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านอักษรศาสตร์ จึงทรงสนับสนุนงานด้านวรรณคดี เปิดโอกาสให้กวีแสดงความสามารถ สุนทรภู่เองก็เจริญในหน้าที่การงานในรัชสมัยของพระองค์ คือตำแหน่ง “สุนทรโวหาร” การมีข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถระดับกวีและขุนนางทรงภูมิปัญญา จึงสะท้อนความเจริญด้านการศึกษาของไทยในสมัยนั้น
“รัชกาลที่ 3 ใครใจบุญสร้างวัดวาอารามก็เป็นคนโปรด”
สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นเวลา 44 ปี หลังการสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ วัตถุสถานที่สร้างสถาปนามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1-2 ก็ชำรุดทรุดโทรมลงไป จึงเกิดโครงการบูรณปฏิสังขรณ์ขนานใหญ่หลายแห่ง นอกจากการซ่อมแซมของเก่า เพิ่มเติมสิ่งที่สร้างคั่งค้างจากรัชกาลก่อนให้สมบูรณ์แล้ว สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ยังทรงนิยมให้สร้างวัดเพิ่มเป็นพระราชนิยมด้วย ขุนนางข้าราชการทั้งหลายจึงแข่งขันกันสร้างวัดและพุทธสถาน จนรัชกาลของพระองค์นับเป็นยุคที่มีการสร้างวัดมากที่สุด

“รัชกาลที่ 4 ใครเรียนรู้ภาษาฝรั่งมากก็เป็นคนโปรด”
สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สยามแทบไม่มีสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว พม่าและญวนที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาแต่รัชกาลก่อน ๆ ล้วนเผชิญภัยคุกคามใหม่ คือ ลัทธิล่าอาณานิคมจากชาติตะวันตก ราชสำนักเองตระหนักถึงอันตรายรูปแบบใหม่นี้ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ เองก็ทรงเล็งเห็นว่า “การรู้เขารู้เรา” ย่อมเป็นประโยชน์ต่อราชการแผ่นดิน และช่วยกำหนดทิศทางด้านนโยบายของสยามต่อชาติตะวันตก คนที่รู้ภาษาและวิทยาตะวันตกจึงเป็นที่โปรดปรานในรัชกาลที่ 4
คำกล่าวข้างต้นจึงค่อนข้างจริง แม้ดูเผิน ๆ จะคล้ายกับว่าพระเจ้าแผ่นดินทั้ง 4 พระองค์ทรงมีคุณสมบัติคนโปรดต่างกันตามพระราชอัธยาศัย แต่เมื่อพิจารณาสถานการณ์ ณ ช่วงเวลานั้น จะพบว่าพระราชนิยมของทุกพระองค์ในทางรัฐประศาสนศาสตร์นโยบาย ล้วนมีความจำเป็นและเหมาะสมกับสภาวการณ์ในแต่ละรัชกาลด้วย
อ่านเพิ่มเติม :
- “พระนั่งเกล้าฯ” พระราชนัดดาองค์โปรดใน ร.1 ด้วยมีพระพักตร์คล้ายกัน?
- เจ้าจอมคนโปรดแห่งพระราชสำนักฝ่ายใน กับการชิงดีชิงเด่นผ่าน “เจ้าจอมก๊กออ”
- ชีวิตและความรักของเจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) คนโปรดของร.6 ที่สตรีหลง
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
จุลทัศน์ พยาฆรานนท์, ราชบัณฑิต สำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสถาน. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวกับงานสร้างสรรค์ศิลปกรรมแบบพระราชนิยม. วารสารราชบัณฑิตยสถาน, ปีที่ 39 ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม 2557.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2567