มองแนวคิด เหมาเจ๋อตง ทำไมเพลงชาติจีนยังร้อง “จีนอยู่ในช่วงอันตรายที่สุด” ไม่กลัวล้าสมัย?

เหมาเจ๋อตง ในวันสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ภาพจาก BEIJING, CHINA / AFP

เพลงชาติจีน หรือที่เรียกกันว่า “มาร์ชอี้หย่งจวิน” (March of the Volunteers) มีเนื้อเพลงส่วนหนึ่งที่เอ่ยว่า “Chinese nation is now facing its greatest danger…” หรือแปลเป็นไทยว่า ชนชาติจีนอยู่ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด ซึ่งน้อยครั้งนักที่จะมีเนื้อเพลงใจความลักษณะนี้ปรากฏในเนื้อเพลงชาติที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์สำคัญของรัฐชาติสมัยใหม่

รัฐชาติสมัยใหม่มีองค์ประกอบที่จำเป็นหลายประการ แน่นอนว่าเรื่องธงชาติหรือเพลงชาติก็เป็นสัญลักษณ์สำคัญที่ส่งผลต่อหลายด้าน เพลงชาติเป็นเครื่องมือสำคัญชิ้นหนึ่งที่ทำให้เกิดการยอมรับและความเป็นเอกภาพ เพลงชาติจึงเป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องให้ความสำคัญในขั้นตอนเริ่มต้นของการสร้างชาติ เช่นเดียวกับการก่อตั้งจีนใหม่ในช่วง ค.ศ. 1949 ที่เริ่มพิจารณาเพลงชาติในเหล่าชนชั้นนำ

การประชุมเตรียมงานของสภาที่ปรึกษาการเมืองใหม่ที่เมืองเป่ยผิง เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1949 ที่ประชุมแห่งนี้เองมีมติให้จัดพิธีสถาปนาประเทศอย่างยิ่งใหญ่ เป็นธรรมดาที่พิธีสถาปนาประเทศจำเป็นต้องมีเพลงชาติใหม่ ธงชาติใหม่ และตราประจำชาติใหม่ด้วย

หน้าที่กำหนดสิ่งเหล่านี้ตกเป็นของคณะทำงานกลุ่มที่ 6 ในการประชุมเตรียมงานของสภาที่ปรึกษาการเมืองใหม่ คณะทำงานชุดนี้จัดการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม เส้าหยง และหวังไห่เผิง ผู้เขียนหนังสือ “หลังสิ้นบัลลังก์มังกร” บรรยายไว้ว่า มติในที่ประชุมกำหนดดังนี้

– ให้รับฟังความคิดเห็นเรื่องธงชาติ ตราประจำชาติ และโน้ตเพลงชาติอย่างเปิดเผย

– จัดตั้งคณะคณะกรรมการคัดเลือกธงชาติและแบบตราประจำชาติ รวมถึงคณะกรรมการคัดเลือกโน้ตเพลงชาติ มีมติเชิญผู้มีคุณวุฒิหลายรายเข้าร่วม

มติที่ให้รับฟังความคิดเห็นเรื่องโน้ตเพลงชาติอย่างเปิดเผยก็ย่อมทำให้เกิดเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม เส้าหยง และหวังไห่เผิง อธิบายว่า เมื่อถึงปลายเดือนกันยายน คณะกรรมการคัดเลือกโน้ตเพลงชาติได้รับต้นฉบับ เพลงชาติจีน ทั้งหมด 32 ชิ้น และเนื้อเพลง 694 เพลง สะท้อนความกระตือรือร้นในการมีส่วนร่วมจากมวลชน น่าเสียดายที่ผลงานส่วนใหญ่คุณภาพต่ำ เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว คณะผู้แทนเสมอว่าควรเลื่อนวันกำหนด เพลงชาติจีน ออกไป

ในการเสวนาว่าด้วยเรื่องธงชาติ ตราประจำชาติ เพลงชาติ เมื่อวันที่ 25 กันยายน ซึ่งจัดขึ้นโดยโจวเอินไหล บันทึกเกี่ยวกับบรรยากาศในวันนั้น เส้าหยง และหวังไห่เผิง บอกว่า ทุกคนอภิปรายกันอย่างกระตือรือร้น และสามารถกำหนดแบบธงชาติได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมาถึงอภิปรายญัตติเพลงชาติ หลังจากกำหนดญัตติได้แล้ว ที่ประชุมก็เงียบสงัดทันที

ในด้านหนึ่ง บรรยากาศย่อมทำให้เห็นว่า “เพลงชาติ” เป็นสัญลักษณ์ที่มีมิติ มีรายละเอียดมากมาย การสื่อสารผ่านท่วงทำนอง เนื้อร้อง หลอมรวมเข้ากันเพื่อให้ออกมาเป็นความหมายที่แสดงถึงความสง่างามและสัญลักษณ์ของชาตินั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่มีชายผู้หนึ่งที่เสนอว่า ให้ใช้ เพลงมาร์ชอี้หย่งจวิน เป็น เพลงชาติจีน

มาเริ่มเอ่ยถึงชายผู้นี้กันก่อน ชายรายนี้คือ สวีเปยหง เป็นจิตรกรมีชื่อเสียงและเป็นคนรักชาติที่โด่งดังทั้งในและนอกประเทศ ส่วนเพลงมาร์ชอี้หย่งจวิน นั้น แปลเป็นไทยได้ว่า “กองทัพองอาจห้าวหาญที่สู้รบเพื่อเชิดชูสัจธรรม”

เพลงมาร์ชอี้หย่งจวิน ที่ศิลปินผู้นี้นำเสนอเคยถูกใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “เฟิงอวิ๋นเอ๋อร์หนี่ว์” สมัยสาธารณรัฐจีน เนื้อหาในเพลงออกไปในทางหัวก้าวหน้า ผู้เขียนเนื้อเพลงคือเถียนฮั่น ส่วนผู้เขียนทำนองคือเนี่ยเอ่อร์

ที่มาที่ไปของบทเพลงมาร์ชอี้หย่งจวิน ย้อนกลับไปไม่นานนักคือใน ค.ศ. 1934 ระหว่างเถียนฮั่นเขียนบทละครเรื่องเฟิ่งหวงเตอะไจ้เซิง อันเป็นบทละครว่าด้วยขบวนการพลีชีพเพื่อต่อต้านญี่ปุ่นและกอบกู้ประเทศ โดยเยาวชนจำนวนมากที่ลี้ภัยไปยังต่างๆ หลังจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนถูกข้าศึก (ญี่ปุ่น) ยึดในเหตุการณ์ 18 กันยา (ค.ศ. 1931) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่กองทัพญี่ปุ่นเข้าโจมตีแถบตะวันออกเฉียงเหนือของจีน

หลังจากนั้นไม่นาน เถียนฮั่นถูกจับเข้าคุก บริษัทภาพยนตร์เตี้ยนทงก็มาปรับแก้บทละคร และเปลี่ยนชื่อเป็นเฟิงอวิ๋นเอ๋อร์หนี่ว์ เนื้อเพลงเดิมถูกแก้เล็กน้อยเท่านั้น ส่วนทำนองเพลงเป็นเนี่ยเอ่อร์ ที่ขอรับหน้าที่นี้ และส่งทำนองเพลงมาจากญี่ปุ่นเมื่อปลายเดือนเมษายน เพลงมาร์ชอี้หย่งจวินจึงถือกำเนิดขึ้น

ส่วนภาพยนตร์ถูกผลิตออกมาเมื่อ ค.ศ. 1935 ช่วงเวลานั้นกองทัพญี่ปุ่นยึดดินแดนอย่างต่อเนื่อง สร้างความโกรธแค้นแก่ชาวจีนอย่างมาก ดังนั้น เพลงมาร์ชนี้จึงสะท้อนถึงความองอาจห้าวหาญของวีรบุรุษที่ปกป้องบ้านเกิด และศรัทธาอันแรงกล้าในการปลดแอกจากข้าศึก

ภาพยนตร์ทำให้บทเพลงนี้แพร่หลายทั่วประเทศ และเป็นบทเพลงสำคัญสำหรับปลุกใจในช่วงต่อต้านญี่ปุ่น

โจวเอินไหลเองก็สนับสนุนข้อเสนอใช้เพลงมาร์ชอี้หย่งจวิน เขาเห็นว่า เป็นบทเพลงที่แสดงออกถึงจิตใจกล้าหาญ จังหวะเพลงชัดเจน เหมาะกับการบรรเลงดนตรี จึงคิดว่าน่าจะเหมาะสมสำหรับเป็นเพลงชาติ แต่ก็มีบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย

ประเด็นที่หยิบยกมาพูดถึงคือเนื้อเพลงส่วนหนึ่งที่ร้องว่า “ชนชาติจีนอยู่ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด” เพราะคนกลุ่มนี้เห็นว่า จีนใหม่กำลังจะสถาปนาในฐานะชนชาติที่ยิ่งใหญ่ เนื้อเพลงนี้อาจเป็นเรื่องล้าสมัย

ความคิดเห็นของโจวเอินไหล กลับไม่ได้มองเช่นนั้น เขาโต้แย้งว่า ให้เก็บเนื้อเพลงเดิมเพื่อปลุกเร้าจิตใจสู้รบของคน การปรับแก้เนื้อเพลงจะส่งผลต่อความรู้สึกที่แตกต่างกัน ความรู้สึกย่อมไม่เหลืออยู่ โจวเอินไหลคิดว่า การเก็บเนื้อเพลงเดิมจะสามารถเตือนคนทั่วโลกให้ตื่นตัว และยังเตือนจีนเองว่า แม้จะสถาปนาใหม่แล้ว แต่เส้นทางในอนาคตยังอีกยาวไกล และต้องเตรียมรับมืออันตรายในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ

ส่วนความคิดเห็นของเหมาเจ๋อตง ก็ออกมาในทิศทางเดียวกัน ซึ่งความเห็นของเหมาเจ๋อตงก็สำคัญเช่นกัน เขามองว่าการกำหนดเพลงมาร์ชนี้เป็นเพลงชาติคือทางเลือกที่ดีที่สุด ไม่ต้องปรับแก้เนื้อเพลง

ส่วนประโยคที่ว่า “ชนชาติจีนอยู่ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด” ก็ไม่ได้สะท้อนความล้าสมัยอย่างที่กังวล หากแต่มองว่าชาวจีนผ่านการปฏิวัติต่อสู้มาอย่างยากลำบาก แม้จะได้ชัยชนะ แต่ก็ยังถูกลัทธิจักรวรรดินิยมรายล้อม จึงต้องพยายามปลดแอกซึ่งอิสรภาพและยังต้องต่อสู้อย่างลำบาก

คำพูดของเหมาเจ๋อตงนี้เองตัดสินต่อที่ประชุมว่าเห็นชอบรับข้อเสนอของสวีเปยหง และตามมาด้วยเสียงปรบมือเห็นชอบ

วันที่ 1 ตุลาคม 1949 ในพิธีสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง เพลงมาร์ชอี้หย่งจวินก็ดังขึ้นบนสถานที่แห่งพิธีในฐานะ เพลงชาติจีน เป็นครั้งแรก

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

เส้าหย่ง และหวังไห่เผิง. กำพล ปิยะศิริกุล แปล. หลังสิ้นบัลลังก์มังกร ประวัติศาสตร์จีนยุคเปลี่ยนผ่าน. กรุงเทพฯ : มติชน, 2560


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 1 ตุลาคม 2562