ผู้เขียน | ฮิมวัง |
---|---|
เผยแพร่ |
สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราชผู้กอบกู้บ้านเมืองให้เป็นไทจากพม่าอังวะ พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถรอบด้านทั้งการสงคราม การปกครอง ทำนุบำรุงพระศาสนา เศรษฐกิจ การค้า ฯลฯ ทรงฟื้นฟูบ้านเมืองให้กลับมารุ่งเรืองเหมือนครั้งกรุงศรีอยุธยา อาจด้วยเพราะ สมเด็จพระเจ้าตากสิน มี “พระอุปนิสัย” ที่เด็ดเดี่ยว ทรงตัดสินพระทัยเฉียบขาด จึงทำให้กรุงธนบุรีสามารถฟื้นคืนได้อย่างรวดเร็ว
เอกสารชิ้นหนึ่งที่ได้บันทึกถึงพระเจ้าตากสินคือ “จดหมายมองซิเออร์เลอบอง” เขียนโดย มองซิเออร์เลอบอง ถึงมองซิเออร์คอร์ เจ้าเมืองปอนดีเชอรี ดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศสในอินเดีย ได้บันทึกเหตุการณ์ตั้งแต่ช่วงที่มองซิเออร์เลอบองเดินทางเข้ามากรุงธนบุรีช่วงต้นรัชมัยจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อพวกมิชชันนารีทราบข่าวว่า “…เมืองไทยค่อยเรียบร้อยลงรอยเดิมเข้าบ้างแล้ว…” จึงมุ่งเดินทางสู่กรุงธนบุรี หมายจะเผยแพร่คริสต์ศาสนาเป็นสำคัญ มองซิเออร์เลอบองพร้อมด้วยคณะมิชชันนารีนำหนังสือ 1 ฉบับ พร้อมด้วยเครื่องบรรณาการมาถวายพระเจ้าตากสิน เพื่อเป็นการสานพระราชไมตรีระหว่างฝรั่งเศสกับกรุงธนบุรี การณ์นี้มองซิเออร์เลอบองถึงกับเปรียบตนเองได้เป็นราชทูตเลยทีเดียว
เนื่องจากในจดหมายไม่ได้ระบุวันออกเดินทางอย่างแน่ชัด มองซิเออร์เลอบองอาจเดินทางออกจากเมืองปอนดิเชอรีราวปลายเดือนพฤษภาคมหรือเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2313 และถึงกรุงธนบุรีเมื่อวันที่ 22 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2314 เนื่องจากต้องแวะพำนักหลายจุดและประสบปัญหาลมทะเล ที่เป็นอุปสรรคให้เดินทางล่าช้า
เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2314 มองซิเออร์เลอบอง และคณะมิชชันนารี ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าตากสินและทูลเกล้าฯ ถวายบรรณาการ พระเจ้าตากสินมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานหมากให้คณะมิชชันนารีรับประทาน พร้อมด้วยผ้าและเงินตราตามธรรมเนียมโบราณ และรับสั่งให้เสนาบดีจัดหาที่ดินพระราชทานให้คณะมิชชันนารีเพิ่มเติม
ต่อมาในวันที่ 2 เมษายน ได้มีการจัดงานขึ้นปีใหม่กันรื่นเริงทั่วพระนคร พระเจ้าตากสินทรงพระเกษมสำราญพระราชหฤทัยมาก โปรดเกล้าฯ ให้คณะมิชชันนารีเข้าเฝ้าแล้ว “…จึงได้ลงประทับกับเสื่อธรรมดา…” นั่งเสมอกับพวกที่มาเข้าเฝ้าอย่างไม่ถือพระองค์เลย ทรงสนพระทัยคริสต์ศาสนาไม่น้อย แล้วมีพระราชปฏิสันถารกับคณะมิชชันนารีอย่างเป็นกันเอง เช่น ทรงไต่ถามว่า “…ถ้าพระเจ้าไม่มีตัวตน แล้วจะพูดกับมนุษย์ได้อย่างไรเล่า…” นอกจากนี้ยังทรงเห็นชอบกับแนวปฏิบัติของพวกมิชชันารี ที่หากเข้ารีตบวชเป็นพระแล้วห้ามไม่ให้สึก และห้ามไม่ให้มีเมีย
ทรงมีพระราชประสงค์จะให้พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาถือปฏิบัติเช่นกัน จึงทรงหันพระองค์ไปทางที่พระสงฆ์เข้าเฝ้าอยู่ แล้วรับสั่งว่า “…เมื่อใครบวชแล้วจะสึกไม่ได้ และจะมีเมียไม่ได้เป็นอันขาด…” และทรงย้ำว่าพระสงฆ์ต้องเรียนภาษาบาลี เพื่อใช้ศึกษาพระพุทธศาสนา เฉกเช่นพวกนักบวชคริสต์ที่ต้องศึกษาภาษาละตินเพื่อใช้ศึกษาคริสต์ศาสนา
มองซิเออร์เลอบอง ยังบันทึกอีกว่า ผู้คนเรียกพระเจ้าตากสินว่า “พระเจ้าแผ่นดิน” แต่พระองค์เองว่าเป็นแต่เพียง “ผู้รักษากรุง” เท่านั้น ทั้งยังไม่ได้ทรงประพฤติเหมือนกษัตริย์แผ่นดินก่อน ๆ คือทรงไม่เห็นชอบที่ห้ามมิให้กษัตริย์เสด็จออกให้ราษฎรพบเห็น ความว่า
“…พระเจ้าตากไม่ทรงเห็นชอบด้วยเลย พระเจ้าตากทรงพระปรีชาสามารถยิ่งกว่าคนธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงไม่ทรงเกรงว่าถ้าเสด็จออกให้ราษฎรพลเมืองเห็นพระองค์ และถ้าจะทรงมีรับสั่งด้วยแล้ว จะทำให้เสียพระราชอำนาจลงอย่างใด เพราะพระองค์มีพระประสงค์จะทอดพระเนตรการทั้งปวงด้วยพระเนตรของพระองค์เอง และจะทรงฟังการทั้งหลายด้วยพระกรรณของพระองค์ทั้งสิ้น…”
นับเป็นบันทึกที่สะท้อนให้เห็นว่า พระเจ้าตากสินทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่ถือพระองค์ และห่วงใยราษฎรอย่างมาก ส่วน “พระอุปนิสัย” ส่วนพระองค์นั้น มองซิเออร์เลอบองบันทึกว่า “…พระองค์ทรงทนทานแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทั้งทรงกล้าหาญและพระปัญญาก็เฉียบแหลม มีพระนิสัยกล้าได้กล้าเสียและพระทัยเร็ว…”
พระอุปนิสัยข้างต้นส่งผลให้พระเจ้าตากสินเป็นผู้เด็ดเดี่ยวและเฉียบขาดในการสงครามมาก ตัวอย่างเมื่อครั้งออกรบในสมรภูมิ หากมีนายทัพนายกองคนใดถอยหลังแล้ว พระองค์ก็จะเสด็จฯ เข้าหานายผู้นั้นแล้วรับสั่งว่า
“เอ็งกลัวดาบของข้าศึกแต่เอ็งไม่กลัวคมดาบของข้าหรือ”
แล้วก็ทรงเงื้อพระแสงดาบฟันศีรษะฆ่านายผู้นั้นทันที
- ข้อสันนิษฐานสุดสะพรึง ตำนาน “โกศอาถรรพ์” พระเจ้าตาก?
- เปิดหลักฐาน “พระเจ้าตาก” ระดม “ชาวศรีเทพ” ร่วมสร้างกรุงธนบุรี
- พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงมีพระมเหสี เจ้าจอมมารดา เจ้าจอม กี่พระองค์ เป็นใครบ้าง?
อ้างอิง :
จดหมายเหตุคณะบาทหลวงฝรั่งเศสในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น. ประชุมพงศาวดาร เล่ม 23 (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 39 (ต่อ) – 40). (2511). กรุงเทพฯ : ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 4 กรกฎาคม 2562