บันทึกลาลูแบร์ เผยเรื่อง “หย่าร้าง” สมัยอยุธยา ชายหญิงสยามไม่ค่อย “หึงหวง”

ภาพ จิตรกรรม สมัยอยุธยา จากหนังสือ สมุดข่อย จัดพิมพ์โดย โครงการสืบสานมรดกวัฒนธรรมไทย พ.ศ. 2542
ภาพจิตรกรรมสมัยอยุธยา จากหนังสือ สมุดข่อย จัดพิมพ์โดย โครงการสืบสานมรดกวัฒนธรรมไทย พ.ศ. 2542

บันทึก “ลาลูแบร์” เผยเรื่อง “หย่าร้าง” สมัย กรุงศรีอยุธยา ชายหญิงสยามไม่ค่อย “หึงหวง”

เรื่อง หึงหวง ของชาย-หญิงยุคโบราณ สามารถศึกษาได้จากบันทึกชาวต่างชาติ ส่วนการมีครอบครัวสะท้อนผ่านงานเขียนหรือวรรณคดีของไทยเราเองอยู่แล้ว หญิงชาวบ้านใน กรุงศรีอยุธยา มีผัวตั้งแต่อายุน้อย จะเห็นว่านางเอกในวรรณคดีทุกเล่ม แต่งงานอายุไม่เกิน 15 ส่วนผู้ชายก็ราวอายุ 18 การกินอยู่กันอย่างเสรีโดยไม่ได้แต่งงานถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องอับอาย เมื่อได้อยู่กินกันก็เสมือนว่าได้แต่งงานกันแล้ว โดยฝ่ายชายจัดพิธีขอขมาต่อพ่อแม่ของฝ่ายหญิงเท่านั้น

Advertisement

แต่ผู้หญิงชาวกรุงศรีอยุธยาจะไม่ยอมแต่งงานกับชาวต่างชาติ แม้จะพูดจาวิสาสะกับชาวต่างชาติก็ไม่ยอม ถ้าใครทำอย่างนั้นจะถูกประณามว่า หญิงเพศยา ส่วนผู้หญิงชาวมอญซึ่งมีอยู่ส่วนมาก ล้วนยินดีแต่งงานกับชาวต่างชาติ และออกที่จะภาคภูมิใจที่จะได้แต่งงานกับชาวยุโรปผิวชาวเสียด้วยซ้ำ กรณี หย่าร้าง และเรื่อง หึงหวง ของผัวเมียใน กรุงศรีอยุธยา มีรายละเอียดมาก และน่าสนใจอย่างยิ่งอยู่ใน บันทึกของ ลาลูแบร์ ดังต่อไปนี้

การหย่าร้าง

การกินอยู่ฐานสามีภรรยาในประเทศสยามนั้นแทบจะราบรื่นกันทั่วทุกครัวเรือนอันจะพิจารณาได้จากความจงรักภักดีของภรรยา ซึ่งหาเลี้ยงสามีตลอดระยะเวลาที่ต้องเกณฑ์ไปรับราชการงานหลวง อันเป็นทำนองบังคับเกณฑ์แรงงานมีระยะไม่เพียงชั่วปีละ 6 เดือนเท่านั้น แต่ลางครั้งก็นานตั้ง 1-5 หรือ 3 ปี ทีเดียว

แต่ถึงแม้ว่าสามีภรรยาจะไม่สามารถทนอยู่ร่วมกันได้ด้วยประการใดก็ตาม ก็มีทางแก้ไขด้วยการหย่าร้างกันได้อยู่ เป็นความจริงที่ว่า การหย่าร้างนี้กระทำกันแต่ในหมู่ราษฎรชั้นสามัญเท่านั้น คนมั่งมีที่มีภรรยาหลายคนก็ยังเลี้ยงดูนางภรรยาที่ตนไม่รักแล้ว หรือที่ตนยังรักอยู่ไว้ทั้งโขยง

กฎหมายการหย่าร้าง

สามีนั้นธรรมดาเป็นตัวสำคัญในการหย่าร้าง (คือจะยอมหย่าก็ได้หรือไม่ยอมหย่าก็ได้) แต่เขาก็ไม่เคยปฏิเสธในเมื่อฝ่ายภรรยามีเจตนาอันแรงกล้าที่จะหย่ากับตน เขาจะคืนเงินกองทุนสินเดิมให้นางไป ส่วนพวกบุตร ๆ ที่เกิดด้วยกันก็แบ่งกันรับไปในทำนองนี้ หญิงผู้มารดาได้บุตรคนที่ 1-3-5 และต่อ ๆ ไปตามจำนวนคี่ ถ้าบังเอิญบุตรโทนคนเดียวก็ได้แก่มารดาไป

และถ้าบุตรทั้งหมดนั้นรวมกันเป็นจำนวนคี่ หญิงผู้เป็นมารดาก็จะได้บุตรมากกว่าผู้เป็นบิดาไปหนึ่งคน จะเป็นด้วยท่านวินิจฉัยเห็นว่ามารดาย่อมเลี้ยงดูบุตรได้ดีกว่าบิดาหรือว่านางเป็นฝ่ายอุ้มท้องและเลี้ยงบุตรด้วยนมของนางมาอย่างใดอย่างหนึ่ง นางจึงมีสิทธิเหนือผู้เป็นบิดาด้วยประการฉนี้ หรือท่านจะเห็นว่าสตรีเพศที่อ่อนแอ ย่อมจะต้องการความช่วยเหลือเกื้อกูลจากพวกบุตร ๆ มากกว่าก็เป็นไปได้เหมือนกันอีก

ผลของการหย่าร้าง

เมื่อได้หย่าร้างค้างขาดกันแล้ว ย่อมเป็นการชอบด้วยกฎหมายที่สามีและภรรยาจะไปแต่งงานใหม่กับใครก็ได้ตามปรารถนาและเป็นอิสระแก่ข้างสตรีที่จะแต่งงานใหม่ได้ในวันที่หย่าร้างกับสามี (เดิม) นั่นทีเดียว โดยไม่คำนึงถึงข้อกังลขาจะเกิดขึ้นได้กับบุตรคนแรก (ที่เกิดเมื่ออยู่กินกับสามีใหม่) ว่าจะเป็นบุตร (ของสามีเดิม) ติดท้องมา โดยเชื่อเอาตามคำที่ภรรยาบอกเป็นประมาณ อันเป็นข้อแสดงให้เห็นว่าชาวสยามมีความหึงหวงน้อยเป็นที่สุด

แต่ถึงแม้ว่าการหย่าร้างนั้นเป็นการที่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่วายที่จะเห็นว่าเป็นข้อชั่วร้ายอย่างใหญ่หลวงและเป็นผลเสียหายแก่พวกบุตร ๆ แทบทุกรายไป เพราะตามธรรมดามักจะไม่ได้รับการเลี้ยงดูดีถ้าบิดามารดาแต่งงานใหม่ ด้วยประการฉะนี้แล จึงเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่อนุมานเอาได้ว่า เหตุไฉนประเทศนี้จึงมีพลเมืองน้อยนัก แม้หญิงสยามจะมีลูกดกอยู่ก็ตาม และมักจะคลอดลูกแฝดเอาบ่อย ๆ เสียอีกด้วย

อำนาจของบิดา

สามีเป็นผู้ทรงอำนาจเด็ดขาดในครอบครัว ถึงขนาดอาจขายบุตรและภรรยาทั้งหลายเสียได้ ยกเว้นภรรยาหลวงแต่ผู้เดียวเท่านั้น ภรรยาม่ายได้รับช่วงอำนาจจากสามีของนาง แต่มีข้อจำกัดว่า นางไม่อาจขายบุตรที่นับเป็นเลขคู่ได้ ถ้าญาติพี่น้องข้างบิดาคัดค้าน เพราะตัวบุตรเองคงไม่กล้าขัดขืน (ความประสงค์ของมารดา) ภายหลังการหย่าร้าง บิดาและมารดาอาจขายบุตรของตนที่ได้รับการแบ่งสันปันส่วนตามวิธีที่ข้าพเจ้ากล่าวมาข้างต้นได้

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

สุจิตต์ วงษ์เทศ. “แต่งงาน-หย่าร้าง” ใน, อยุธยา ยศยิ่งฟ้า ประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมกรุงศรีอยุธยา ว่าด้วยวิถีชีวิตไพร่ฟ้าข้าไทย. กรุงเทพฯ : มติชน, 2549.


แก้ไขปรับปรุงเนื้อหาในออนไลน์เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2562