เผยแพร่ |
---|
อำนาจในการควบคุมรายได้ที่สำคัญที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 4 คือ การได้กำกับการเก็บภาษี ที่มีขั้นตอนตั้งแต่การประมูลให้สิทธิ์เจ้าภาษีนายอากรไปผูกขาดเก็บภาษี และรับบัญชีส่งเข้าท้องพระคลัง ซึ่งก่อนจะถึงขั้นนี้ เจ้านายหรือขุนนางที่กำกับภาษีมีสิทธิ์ใช้เงินที่จัดเก็บได้ในงานราชการตามกรมกองของตนก่อนนำส่งท้องพระคลัง ทั้งยังได้ “สิบลด” หรือร้อยละ 10 ของรายได้เป็นส่วนแบ่งด้วย อำนาจการกำกับภาษีที่กระจายอยู่กับเจ้านายและขุนนางส่งผลให้อำนาจทางเศรษฐกิจของกษัตริย์ที่เลิกทำการค้าของรัฐผ่านกรมพระคลังสินค้าลดน้อยลงไปมาก
แม้ได้มีข้อตกลงกันว่าฝ่ายที่กับภาษีจะส่งเงินร้อยละ 5 ของรายได้ที่จัดเก็บเข้า “พระคลังข้างที่” ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนพระองค์ของกษัตริย์ แต่ในความเป็นจริงแทบไม่มีใครปฏิบัติตาม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้กำกับภาษีแต่ที่อยู่ในความดูแลของกรมพระคลังมหาสมบัติเท่านั้น ส่วนภาษีที่เจ้านายและขุนนางอื่นดูแลอยู่ก็มักหาทางหลีกเลี่ยงปิดบังเป็นผลประโยชน์ส่วนตน

ทำให้เงินพระคลังข้างที่ของพระมหากษัตริย์และเงินพระคลังหลวงที่เป็นเงินส่วนกลางร่อยหรอลงทั้งสองส่วน การใช้เงินพระคลังข้างที่ในงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้พระคลังข้างที่ต้องเป็นหนี้พระคลังหลวงอยู่กว่า 10 ปี สถานการณ์ด้านการเงินค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้สิทธิ์กำกับภาษีของกรมพระคลังสินค้าทั้งหมด พ.ศ. 2413 ภายหลังพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้ากรมพระคลังสินค้าทรงแสดงความจำนงถวายคืนให้เมื่อสิ้นพระชนม์
ในปีเดียวกันนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้ง “ออดิตออฟฟิส” (Audit Office) ขึ้นเพื่อตรวจบัญชีภาษีในกำกับของพระองค์ให้เงินเจ้าพระคลังหลวงเต็มเม็ดเต็มหน่วย ภาษีจากกรมพระคลังมหาสมบัติ และกรมพระคลังสินค้าในกำกับของพระเจ้าอยู่หัวมีมูลค่าเกินครึ่งของรายรับจากภาษีทั้งหมด
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เรื่องสิทธิ์กำกับภาษี แสวงหากลุ่มผู้สนับสนุนโดยทรงมอบหน้าที่กำกับภาษีบางอย่างให้ขุนนางนอกกลุ่มเพื่อซื้อใจ และขยายกลุ่มผู้สนับสนุน เช่น พระยาพิพิธโภคัยสวรรย์ (ทองคำ สุวรรณทัต) เจ้ากรมพระคลังมหาสมบัติ, พระราชวรานุกูล (รอด กัลยาณมิตร) ปลัดทูลฉลองกรมมหาดไทย, พระยากลาโหมราชเสนา (กรับ บุณยรัตพันธุ์) อัครมหาเสนาบดีสังกัดวังหน้า ฯลฯ
แต่อำนาจหน้าที่ที่มอบให้ไม่ใช่การดูแลเบ็ดเสร็จอย่างที่ผ่านมาก เนื่องจากมี “ออดิตออฟฟิส” ตรวจสอบบัญชีเงินเข้าเงินออกอยู่แล้ว แต่ผู้ดูแลก็จะได้ส่วนแบ่งในอัตราร้อยละ 5
นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายที่ให้การจัดเก็บรายได้รวมศูนย์ โดยหน่วยงานที่ตั้งขึ้นใหม่ของกรมพระคลัง คือ “หอรัษฎาพิพัฒน์” ซึ่งมีวิธีกำกับดูแลจัดเก็บ รวมถึงตรวจสอบบัญชีอย่างละเอียด ไม่ให้ผู้กำกับดูแลภาษีเบียดบังเงินไปใช้ได้

วิธีการใหม่นี้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) คัดค้านเต็มที่ว่าทำไม่ได้จริง เช่น ภาษีฝิ่นที่ท่านดูแลจัดเก็บเอง แทนระบบเจ้าภาษีนายอากรตั้งแต่ พ.ศ. 2413 ท่านได้ใช้วิธีซื้อมาขายไป จึงทำบัญชีส่งเงินเข้าทุกเดือนไม่ได้ มิเช่นนั้นจะขอคืนภาษีที่ดูแลอยู่ ไม่ขอรับจัดการอีกต่อไป ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต้องทรงยินยอมไม่เข้ายุ่งเกี่ยว แต่ไปตรวจสอบบัญชีของกรมนาแทน
แล้วก็พบว่า เงินที่กรมนาต้องส่งเข้าหลวงขาดไปกว่า 5 แสนบาท
กรมนา มีพระยาอาหารบริรักษ์ (นุช) หลานสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นเสนาบดีกรมนา การตรวจสอบพบว่าระหว่าง พ.ศ. 2411-13 กรมนาส่งเงินให้กรมพระคลังน้อยกว่าบัญชีถึง 6,775 ชั่ง [542,000 บาท]
อีกทั้งเสนาบดียังนำเงินไปใช้ส่วนตัวจำนวนมาก เช่น ยืมค่านาไปค้าขายปีละ 200-300 ชั่ง [16,000-24,000 บาท] เอาไปซื้อฝ้าย 2,000 ชั่ง [160,000 บาท] ทั้งนำข้าวเปลือกในฉางหลวงไปกำนัลท่านผู้หญิงพัน ภริยาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ปีละ 70-90 เกวียน [70,000-90,000 กิโล] และนำข้าวสารไปให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์อีกปีละ 11-13 เกวียน [11,000-13,000 กิโล]
พระยาอาหารบริรักษ์ยังเป็นผู้ดูแลการต้มฝิ่นขาย และเก็บเงินภาษีร้อยชักสามให้กับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ด้วย
สุดท้ายเมื่อพระยาอาหารบริรักษ์และพวกอีก 2 คน ต้องโทษและถูกถอดจากตำแหน่ง สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงยกโทษจำคุกให้ แต่ไม่ให้กลับมารับราชการอีก
ข้อมูลจาก
ดร.อาวุธ ธีระเอก. ภาษาเจ้า ภาษานาย การเมืองเบื้องหลังการศึกษาภาษาอังกฤษ สมัยรัชกาลที่ 5. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2560.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2561