ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมิถุนายน 2552 |
---|---|
ผู้เขียน | รศ.ดร. ศานติ ภักดีคำ |
เผยแพร่ |
เมื่อกล่าวถึงนามบรรดาศักดิ์ของผู้นำแห่งกัมพูชา คือ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน หลายคนคงมีคำถามว่า คำว่า “สมเด็จ” ที่ประเทศกัมพูชาใช้นั้นปัจจุบันหมายถึงอะไร ใครใช้ได้บ้าง นอกจากนี้ยังอาจมีคำถามว่านามบรรดาศักดิ์ที่ค่อนข้างยาวนั้นมีความหมายว่าอะไรมีที่มาอย่างไรและผู้นำประเทศกัมพูชาในปัจจุบันจึงนำนามบรรดาศักดิ์นี้มาใช้ด้วยเหตุใด
การใช้คำว่า “สมเด็จ” ในประเทศกัมพูชาปัจจุบัน
คำว่า “สมเด็จ“ เป็นคำภาษาเขมรโบราณที่แผลงมาจากคำว่า “สฺตจ (เสด็จ)” ดังปรากฏหลักฐานการใช้มาตั้งแต่ศิลาจารึกของเขมรโบราณสมัยพระนคร โดยมีการใช้อักขรวิธีตามศิลาจารึกว่า “สํตจ” และ “สํเตจ” มีความหมายว่า พระนามศักดิ์สิทธิ์สำหรับกษัตริย์, เทพเจ้า, นักบวช
ในศิลาจารึกนครวัดสมัยหลังพระนครก็ปรากฏการใช้คำว่า “สมเด็จ” เช่นเดียวกัน เช่น ในจารึก มีกล่าวการใช้คำว่า “สมเด็จ” นำหน้าพระนามของกษัตริย์ในจารึก IMA.3 ซึ่งกล่าวถึง “สมเด็จพระชัยเชษฐาธิราชโองการ” และใช้นำหน้าพระนามของพระราชวงศานุวงศ์ชั้นสูง ในกัมพูชาสมัยหลังพระนครยังนำคำว่า สมเด็จ มาใช้นำหน้าสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ผู้ใหญ่ นอกจากนี้นามบรรดาศักดิ์ขุนนางสำรับโท ซึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายพระมหาอุปโยราช ของกัมพูชาในสมัยหลังพระนคร มีตำแหน่งเสนาบดีนายก ยศเป็น “สมเด็จเจ้าพระยา“ หรือ “สมเด็จเจ้าพญา“แสดงให้เห็นว่าตำแหน่ง “สมเด็จ” ได้มีการนำมาใช้กับตำแหน่งขุนนางชั้นสูงตั้งแต่ในกัมพูชาสมัยหลังพระนครด้วย
การนำคำว่า “สมเด็จ“ มาใช้เป็นยศของขุนนางกัมพูชาสมัยหลังพระนคร คล้ายคลึงกับการใช้คำว่า “สมเด็จ” ของกัมพูชาในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีคำอธิบายในหนังสือ “ประชุมลิขิต“ ของ ออกญามหามนตรี จางวางกรมพระราชมณเฑียร (ญึก นูว) ซึ่งพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2513 ว่า “…พระสงฆ์ และคฤหัสถ์ ซึ่งมีฐานันดรศักดิ์เป็นที่ สมเด็จ ไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์ ‘เสวย’ ว่า ‘บรรทม’ ต้องพูดตามคำธรรมดา ถ้าจะใช้คำราชาศัพท์ได้ก็ต่อเมื่อพระเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้เปลี่ยนเป็น ‘เสด็จ‘…“
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้นนี้ผู้นำของกัมพูชาในปัจจุบันจึงสามารถมีคำนำหน้านามบรรดาศักดิ์ว่า “สมเด็จ“ ได้ทั้งที่เป็น “สามัญชน“
ที่มาของนามบรรดาศักดิ์ในทำเนียบบรรดาศักดิ์กรุงกัมพูชาสมัยหลังพระนคร
อาณาจักรกัมพูชาสมัยหลังพระนคร (พุทธศตวรรษที่ 21 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 24) เป็นสมัยที่ราชสำนักกัมพูชาได้ย้ายศูนย์กลางจากตอนเหนือของบริเวณทะเลสาบเขมรไปตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง คือ บริเวณเมืองละแวก และเมืองอุดงค์ฦๅชัย ในสมัยนี้วัฒนธรรมเขมรโบราณในบริเวณที่ราบลุ่มของทะเลสาบใหญ่เขมรคลายกำลังความเข้มแข็งศักดิ์สิทธิ์ลงและเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในอาณาจักรกัมพูชาหลายด้าน ตำแหน่งยศและนามบรรดาศักดิ์ของขุนนางกัมพูชาในสมัยหลังพระนครมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ใช้ว่า “กัมรเตงอัญ“ “เสตงอัญ“ ฯลฯ มาใช้ตำแหน่งยศและนามบรรดาศักดิ์ชุดเดียวกับกรุงศรีอยุธยา คือ มีตำแหน่ง “เจ้าพญา“ “ออกญา“ “ออกพระ” “ออกหลวง” “ขุน” เป็นต้นยศตำแหน่งและนามบรรดาศักดิ์ของขุนนางกัมพูชาสมัยหลังพระนครเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกับยศตำแหน่งและราชทินนามของกรุงศรีอยุธยา
นามบรรดาศักดิ์ “เดโช” ในทำเนียบบรรดาศักดิ์กรุงกัมพูชา
นามบรรดาศักดิ์ “เดโช” เดิมเป็นนามบรรดาศักดิ์ของ “เจ้าเมืองกำพงสวาย“ ดังปรากฏในทำเนียบบรรดาศักดิ์กรุงกัมพูชาว่า “เมืองกพงสวาย พระยาเดโช เจ้าเมือง“ นอกจากนี้ยังปรากฏในจารึกนครวัดสมัยหลังพระนครหลักที่ IMA.9 ซึ่งจารึกขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2160-70 กล่าวถึง เจ้าพญาเดโชชัย และในจารึกนครวัดสมัยหลังพระนครหลักที่ IMA.39 จารึกเมื่อปี พ.ศ. 2290 มีความตอนหนึ่งกล่าวว่า “…พระราชทานออกญาวงศษาอัครราชเป็นออกญาเดโชกินเมืองกำพงสวายนั้น…“
รวมทั้งยังมีการกล่าวถึงนามบรรดาศักดิ์ “ออกญาเดโช” ในราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา พงศาวดารพระมหากษัตริย์ และเอกสารมหาบุรุษเขมรด้วย ดังความตอนหนึ่งในพงศาวดารพระมหากษัตริย์ฯ ว่า “ออกญายมราชแบนเป็นข้าสมเด็จพระรามาราชาธิราชไปอยู่กับออกญาเดโชแทนที่เมืองกำพงสวาย แล้วออกญายมราชแบนหนีเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยา“ แสดงให้เห็นว่า ตำแหน่งนี้น่าจะมีใช้มาตั้งแต่ในกัมพูชาสมัยหลังพระนคร
ต่อมาในสมัยอาณานิคมฝรั่งเศส ตำแหน่ง “ออกญาเดโช“ ได้เปลี่ยนไปเป็นตำแหน่งของเจ้าเมืองกำพงธม (จังหวัดกำพงธม) เมื่อฝรั่งเศสได้ย้ายศูนย์กลางของเมืองนี้จากเมืองกำพงสวายมาไว้ที่เมืองกำพงธม ดังปรากฏนามบรรดาศักดิ์ในตำแหน่งมนตรีรัฐบาลเขตว่า “ออกญาเดโชบุราราชธรณินท นรินทบริรักษ์ สมุหาธิบดี อภัยเภรีปารากรมพาหุ”
ตำแหน่ง “ออกญาเดโช” เป็นตำแหน่งสำคัญ เพราะเป็นเจ้าเมืองเอก มีอำนาจมากและมักมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพในการทำสงครามด้วย
นามบรรดาศักดิ์ “เดโช“ จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า นามบรรดาศักดิ์นี้เป็นนามบรรดาศักดิ์ของ ออกญาเดโชบุราราช (มาศ) หรือ เดโชกรอฮอม และออกญารามราชเดโช (ยต) ซึ่งทั้ง 2 คนนี้เป็น วีรบุรุษของกัมพูชาที่มีคุณูปการทั้งในด้านการปราบกบฏ และในด้านการสงครามต่อต้านการรุกรานจาก เสียม (สยาม)
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความ “สามสมเด็จแห่งกัมพูชา : เจีย ซีม, ฮุน เซน และ เฮง สัมริน ที่มาและความหมายของนามบรรดาศักดิ์” เขียนโดย รศ.ดร. ศานติ ภักดีคำ ในศิลปวัฒนธรรม มิถุนายน 2552
แก้ไขปรับปรุงเนื้อหาในออนไลน์เมื่อ 4 เมษายน 2562