“เตียอูเต็ง” จับกังรับจ้างชาวจีน สู่เจ้าสัวใหญ่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นสกุลใด?

ผู้ก่อตั้ง ห้างกิมเซ่งหลี หลวงจิตรจำนงวานิช หลวงอุดรภัณฑ์พานิช อูเต็ง แซ่เตีย จีนเต็ง อากรเต็ง เตียอูเต็ง หลวงบริรักษ์ประชากร
สามสหายผู้ก่อตั้งกิมเซ่งหลี (จากซ้ายไปขวา) หลวงจิตรจำนงวานิช, หลวงอุดรภัณฑ์พานิช (อูเต็ง แซ่เตีย) และหลวงบริรักษ์ประชากร (ภาพจาก เจริญ ตันมหาพราน. 3 เจ้าสัวปางไม้. ปราชญ์สำนักพิมพ์, 2554.)

“เตียอูเต็ง” หนึ่งในผู้ก่อตั้ง “ห้างกิมเซ่งหลี” เมืองตาก ตำนานเสื่อผืนหมอนใบจากเมืองจีน สู่เจ้าสัวใหญ่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นสกุลใด?

นอกจากชาวจีนจะอาศัยอยู่มากในภาคกลางแล้ว ยังกระจายตัวไปตั้งรกรากในภาคเหนือ สร้างเนื้อสร้างตัวจนมีฐานะร่ำรวย อย่าง “จีนเต็ง” ที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงอุดรภัณฑ์พานิช

หนังสือ “ประวัติจีนกรุงสยาม A History of the Thai-Chinese เล่มที่ 2 ยุคล่าอาณานิคม” (สำนักพิมพ์มติชน) โดย เจฟฟรี ซุน และพิมพ์ประไพ พิศาลบุตร เล่าเรื่องจีนเต็งไว้ว่า

หนังสือ ประวัติจีนกรุงสยาม A History of the Thai-Chinese เล่มที่ 2 ยุคล่าอาณานิคม เตียอูเต็ง จีนเต็ง อากรเต็ง หลวงอุดรภัณฑ์พานิช ชาวจีนในไทย ห้างกิมเซ่งหลี
หนังสือ “ประวัติจีนกรุงสยาม A History of the Thai-Chinese เล่มที่ 2 ยุคล่าอาณานิคม”

อูเต็ง แซ่เตีย ชายหนุ่มฐานะยากจนจากอำเภอเตี่ยอัง ประเทศจีน ตัดสินใจเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาหางานทำในสยาม โดยทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 18 บาทเป็นค่าโดยสาร

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ประวัติชีวิตของจีนเต็ง ที่ต่อมาคือเจ้าสัวใหญ่ว่า

“…เมื่อแรกเข้ามาถึงเมืองไทยรับจ้างเขาเป็นจับกังพายเรือ (ได้รายได้เดือนละ 3 บาท) ด้วยในสมัยนั้นถนนรนแคมยังไม่ใคร่มี ไปไหนไปเรือกันเป็นพื้น พวกจีนที่เป็นเถ้าแก่มักใช้เรือสำปั้น 3 กระทงเวลาไปไหนตัวเถ้าแก่นั่งคัดท้าย มีจับกังพายจ้ำไปข้างหัว 2 คนเขามักจ้างจีนใหม่ ให้ค่าจ้างถูกๆ เพราะจับกังพายเรือไม่ต้องรู้ภาษาไทย แล้วแต่เถ้าแก่สั่งให้พายก็พายไป

รับจ้างพายเรืออยู่จนได้เงินใช้หนี้ที่เขาทดรองค่าโดยสารหมดแล้ว จึงคิดอ่านไปรับจ้างเขาหุงข้าวกะทะในโรงกงสีสำหรับเลี้ยงจับกัง ได้ค่าจ้างมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ค่อยสะสมค่าจ้างไว้เป็นทุน จนพอจะออกค้าขายโดยลำพังได้…”

หลวงจิตรจำนงวานิช หลวงอุดรภัณฑ์พานิช อูเต็ง แซ่เตีย จีนเต็ง เตียอูเต็ง อากรเต็ง หลวงบริรักษ์ประชากร ผู้ก่อตั้ง ห้างกิมเซ่งหลี ชาวจีนในไทย
สามสหายผู้ก่อตั้งกิมเซ่งหลี (จากซ้ายไปขวา) หลวงจิตรจำนงวานิช, หลวงอุดรภัณฑ์พานิช (อูเต็ง แซ่เตีย) และหลวงบริรักษ์ประชากร (ภาพจาก เจริญ ตันมหาพราน. 3 เจ้าสัวปางไม้. ปราชญ์สำนักพิมพ์, 2554)

ต่อมา จีนเต็งย้ายไปรับจ้างในสวนผัก รับเงินเดือนละ 10 บาท ออมเงินได้จำนวนหนึ่งก็นำไปปล่อยกู้หารายได้จากผู้ที่ยากจนกว่าตัวเอง เมื่อสะสมทุนรอนได้ก้อนหนึ่งก็เดินทางขึ้นเหนือไปค้าขายที่เมืองตากใน พ.ศ. 2413

ที่นั่นจีนเต็งแต่งงานกับ “ทองก้อน” หญิงสาวจากครอบครัวผู้มีฐานะในล้านนา และได้พบกัลยาณมิตร 2 คน คือ จีนบุญเย็น และ จีนทองอยู่ ซึ่งทั้งสองมีฐานะมั่นคงอยู่แล้วที่เมืองตาก

จากนั้นทั้งสามคนก็ร่วมมือกันทำธุรกิจในชื่อ “ห้างกิมเซ่งหลี”

ความที่มีหัวการค้า เมื่อจีนเต็งขึ้นไปค้าขายที่เมืองเชียงใหม่ตามคำแนะนำของแม่ยาย ก็ไปผูกสัมพันธ์กับเจ้านายเมืองเชียงใหม่ และ พระนรินทรราชเสนี (พุ่ม) ข้าหลวงสยามประจำเชียงใหม่ ทำให้เขามีเส้นสายไปรับช่วงผูกขาด ทำภาษีอากร ฝิ่น สุรา และบ่อนเบี้ยเมืองเชียงใหม่จาก พระภักดี ขุนนางสยาม

จีนเต็งพัฒนาตัวเองจนขยับสถานะเป็นเจ้าภาษีนายอากร ที่ชำนาญการประมูลภาษี ชาวบ้านเรียกขานเขาว่า “อากรเต็ง”

คุ้มเจ้าหลวงเชียงใหม่ จีนเต็ง เตียอูเต็ง อากรเต็ง หลวงอุดรภัณฑ์พานิช สร้าง ชาวจีนในไทย ห้างกิมเซ่งหลี
คุ้มของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ที่จีนเต๊ง (จีนเต็ง) สร้างให้ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟบางกอกน้อย ภาพถ่ายราว พ.ศ. 2437 (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ในหนังสือ ประวัติศาสตร์ล้านนา, สรัสวดี อ๋องสกุล)

“ห้างกิมเซ่งหลี” กลุ่มธุรกิจใหญ่แห่งเมืองเหนือ

เมื่อราชสำนักสยามปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและการปกครอง กลุ่มกิมเซ่งหลีก็มีโอกาสประมูลสัมปทานป่าไม้ และสัมปทานผูกขาดการจัดเก็บภาษีอากรต่างๆ ตั้งแต่เมืองเชียงใหม่ลงมาถึงปากน้ำโพ

โดยเฉพาะภาษีฝิ่น มณฑลพายัพ ที่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่มีใครสู้ราคาประมูลของกลุ่มกิมเซ่งหลีได้เลย

จากหัวเมืองเหนือ กลุ่มกิมเซ่งหลีได้ขยายกิจการลงมาตั้งโรงเลื่อยที่กรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2436 โดยมีอากรเต็งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลธุรกิจ

กลุ่มกิมเซ่งหลีดำเนินธุรกิจเจริญเติบโตก้าวหน้า และเป็นเจ้าภาษีที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่รัชกาลที่ 5 ตรัสชมว่า (ทางเหนือ) ไม่มีเจ้าภาษีนายอากรรายใดเก่งเท่าห้างกิมเซ่งหลี”

สะพานกิมเซ่งหลี อากรเต็ง เตียอูเต็ง หลวงอุดรภัณฑ์พานิช ห้างกิมเซ่งหลี
สะพานกิมเซ่งหลี (ที่อากรเต็งช่วยสร้างโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย) ในแผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2453 (ภาพจาก ศูนย์แผนที่และเอกสารประวัติศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

เตียอูเต็งยังมีบทบาทช่วยเหลือกิจการสาธารณะ รับสร้างสะพานข้ามคลองสามเสนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ดังพระราชกระแสในรัชกาลที่ 5 พระราชทาน พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิธาดา เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ เมื่อครั้งกระทรวงโยธาธิการมีหนังสือกราบบังคมทูล เพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อากรเต็งสร้างสะพานข้ามคลองสามเสนถวายว่า

“…จีนอากรเตงมีน้ำใจจะช่วยรับทำตพานคลองสามเสนโดยไม่คิดราคาดังนี้ เปนที่ยินดีในกุศลเจตนาของนายอากรเตง แลขอบใจในการที่ได้ช่วยเกื้อกูลการบ้านเมือง ให้เธอบอกจีนอากรเตงให้ทราบตามซึ่งฉันได้มีความยินดีดังนี้ อนุญาตให้จีนอากรเตงทำตพาน แลให้เรียกชื่อตพานนั้นว่า ตพานอากรเตง สืบไป”

ล่วงเข้าสู่รัชกาลที่ 6 ที่มีการพระราชทานนามสกุล ทายาทของผู้ก่อตั้งกิมเซ่งหลีได้รับพระราชทานนามสกุล “โสภโณดร” มีความหมายว่า ทิศเหนืออันงดงาม

นามสกุลนี้ใช้สืบมาโดยลูกหลานของหลวงอุดรภัณฑ์พานิช (เตียอูเต็ง) ในกรุงเทพฯ และลูกหลานของหลวงบริรักษ์ประชากร (จีนทองอยู่) ซึ่งดูแลกิจการที่เมืองตาก

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร, สมชาย จิว และนิรันดร นาคสุริยันต์ แปลและเรียบเรียง. ประวัติจีนกรุงสยาม เล่มที่ 2 ยุคล่าอาณานิคม. กรุงเทพฯ: มติชน, 2568

สั่งซื้อหนังสือชุดนี้ที่เว็บไซต์สำนักพิมพ์มติชน ได้ที่นี่


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 18 มิถุนายน 2568