ผู้เขียน | ปณทัศน์ ชัยมาลิก |
---|---|
เผยแพร่ |
หรุ่ม คืออะไร? ทำไมชาวไทยถึงเรียกชาวตุรกีแบบนั้น
สมัยกรุงศรีอยุธยาและต้นรัตนโกสินทร์ ชาวต่างชาติจำนวนมากเดินทางเข้ามาค้าขายในสยาม หนึ่งในนั้นคือชาวตุรกี โดยชาวมุสลิมเรียกพวกเขาด้วยคำที่ฟังดูไม่คุ้นเคยว่า “หรุ่ม”
คำเรียกนี้มิได้เกิดขึ้นโดยไร้ที่มา หากแต่มีรากฐานโยงใยกับประวัติศาสตร์การเมืองของจักรวรรดิออตโตมัน การเรียกดังกล่าวจึงไม่ใช่เพียงชื่อเรียกทั่วไป แต่สะท้อนให้เห็นถึงการรับรู้ทางภูมิรัฐศาสตร์ของผู้คนในภูมิภาคนี้ต่อโลกอิสลามในยุคก่อนสมัยใหม่อย่างน่าสนใจ
หรุ่ม เป็นคำที่ใช้เรียกชาวตุรกี หรือชาวออตโตมันเติร์กมาอย่างน้อยที่สุดตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยมิได้มีเฉพาะคำข้างต้นอย่างเดียว แต่รวมถึงคำว่า อรุ่ม และโต้ระกี่ เมื่อชาวตุรกีเดินทางมาถึงดินแดนสยาม ชาวมุสลิมที่อยู่ในสยามก็เรียกเมืองหลวงของพวกเขาที่เดินทางมาว่าเมืองหรุ่มไปด้วย
การเรียกชาวตุรกีเช่นนี้สามารถสังเกตได้จากโคลงภาพคนต่างภาษา “ภาพหรุ่มโต้ระกี่” ในจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
“พึงพิศพิมพ์ภาพตั้ง ตามเฉลียง นี้พ่อ
เรียกหรุ่มโต้ระกี่เป็น อย่างไว้
เนยนมฤทธิเปรียง โคชอบ ใช้แฮ
เสียสุกรฤาใกล้ เกลียดไกลฯ”
นอกจากนี้ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็พบคำเรียกที่คล้ายคลึงกัน ปรากฏในตำนานพื้นถิ่นของคาบสมุทรมลายูในช่วงศตวรรษที่ 16 ชื่อตำนานมโรง มหาวังศา กล่าวถึงกษัตริย์แห่งรูม (Rum) ที่เดินทางมายังคาบสมุทรมลายู
ชื่อเรียกหรุ่มมาจากไหน
คำว่าหรุ่ม อรุ่ม รูม ต่างก็ออกเสียงคล้ายคำว่าโรมทั้งสิ้น ทำให้รัชกาลที่ 4 ทรงสับสน จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาไปถามเพื่อความกระจ่าง ปรากฏอยู่ใน ชุมนุมพระบรมราชาธิบาย ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
“อนึ่งเมืองคอศตันติโนเบล (คอนสแตนติโนเปิล-ผู้เขียน) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของพวกแขกเตอเก (ตุรกี-ผู้เขียน) ที่แขกเรียกว่าตุรเกบ้าง ว่าแขกใหญ่บ้างนั้น ว่า เมืองหรุ่มบ้าง เมืองอรุ่มบ้างดังนี้ เอาที่ไหนมาเรียก แขกนอกไม่มีใครเขาเรียกดังนี้เลย เอาที่ไหนมาเรียก คนนอกนั้น โดยถามเขาถึงเมืองหรุ่มเมืองอรุ่ม เขาก็เข้าใจว่าเมืองโรม ซึ่งเป็นเมืองหลวง ที่บาดหลวงใหญ่สางโตปาปา (พระสันตะปาปา-ผู้เขียน) อยู่ในแผ่นดินอิตาลีนั้นไปฯ เมืองนั้นคนถือสาสนามหมัดไม่มีเลย มีแต่คนถือสาสนาเยซู
ให้ท่านทั้งปวงหรือทีละนาย ให้การมาจงแจ้ง เอาที่ไหนมาเรียกว่ากบิลพัสดุ แลเมืองหรุ่ม เมืองอรุ่ม จะเรียกผิดกับแขกนอกเขาเรียกนั้น จะมีประโยชน์โภชน์ผลอย่างไรให้การมาจงแจ้ง”
จึงเป็นคำถามว่าทำไมคำว่า “หรุ่ม” ถึงใช้เรียกชาวเติร์ก ทั้งที่เมืองหลวงของชาวเติร์กก็มิใช่กรุงโรม และกรุงโรมก็มีแต่ผู้นับถือคริสต์ศาสนา ไม่มีชาวมุสลิมเลยแม้แต่น้อย

คำตอบนี้ต้องย้อนกลับไปในสมัยจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งเป็นจักรวรรดิของชาวมุสลิมเติร์ก มีพื้นที่ครอบคลุมประเทศตุรกีในปัจจุบัน และดำรงอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20
ก่อนที่จักรวรรดิออตโตมันจะเรืองอำนาจ เดิมทีคำว่า “รูม” เป็นคำไว้ใช้เรียกจักรวรรดิไบแซนไทน์และจักรวรรดิโรมัน ดังปรากฏอยู่ในวรรณกรรมเปอร์เซียและตุรกีในอดีต
จักรวรรดิโรมันซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรมในคาบสมุทรอิตาลี มีพื้นที่การปกครองกว้างใหญ่ไพศาล หลังจากดำรงอยู่มาตั้งแต่ 26 ปี ก่อนคริสตกาล ค.ศ. 395 ความขัดแย้งภายในทำให้จักรวรรดิถูกแบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตกและจักรวรรดิโรมันตะวันออก
ทั้งนี้ จักรวรรดิโรมันตะวันตกก็ล่มสลายไปใน ค.ศ. 476 คงเหลือไว้เพียงแต่จักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือที่รู้จักกันต่อมาในชื่อ “จักรวรรดิไบแซนไทน์”
จักรวรรดิไบแซนไทน์ดำรงอยู่ต่อมาราวพันปีในฐานะจักรวรรดิของชาวโรมัน จนท้ายที่สุดสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 (ค.ศ. 1451-1481) แห่งจักรวรรดิออตโตมัน สามารถยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์ได้ใน ค.ศ. 1453 นำมาซึ่งจุดจบของจักรวรรดิไบแซนไทน์

เมื่อสุลต่านสามารถยึดเมือง และเข้าครอบครองดินแดนของไบแซนไทน์ (โรมันตะวันออก) ได้สำเร็จ พระองค์ทรงย้ายศูนย์กลางการปกครองมาอยู่ที่คอนสแตนติโนเปิล และทรงเรียกตนว่า “Kayser-I Rum” หมายถึงซีซาร์แห่งโรมหรือก็คือผู้ปกครองแห่งโรม เพื่อสื่อความหมายว่าพระองค์คือผู้สืบทอดแห่งจักรวรรดิโรมัน อันเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่อย่างมากในอดีตและดำรงอยู่มานับพันปี
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ชาวเติร์กจึงได้ชื่อว่าเป็นชาวรูม ซึ่งเพี้ยนเสียงมาจากคำว่าโรมัน ต่อมาคำนี้แปรรูปเป็น “หรุ่ม” หรือ “อรุ่ม” เมืองหลวงของชาวออตโตมันเติร์กจึงมีชื่อเรียกขานตามว่า “เมืองหรุ่ม” โดยปริยายนั้นเอง

อ่านเพิ่มเติม :
- ปฐมเหตุเมื่อ “อิสลาม” แยกนิกายเป็น “ซุนนี-ชีอะห์” ไฉนไม่ถูกกัน?
- จุดเริ่มต้น “อิสลาม” ใน “อินโดนีเซีย” ก่อนเป็นชาติที่มีชาวมุสลิมมากที่สุดในโลก
- อิสลามไม่มีนักบวช แล้ว “อิหม่าม” คือใคร ทำไมเรียก “โต๊ะอิหม่าม” ?
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง :
อ้างถึงใน จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์. (2550). “แขก” ในโคลงภาพคนต่างภาษาที่วัดโพธิ์ ภาพสะท้อนมุสลิมศึกษาในหมู่ปัญญาชนสยามสมัยต้นรัตนโกสินทร์. วารสารอักษรศาสตร์, 36(1), 36-111. เรียกใช้เมื่อ 8 เมษายน 2568
ชุมนุมพระบรมราชาธิบาย ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภาคที่ ๑ หมวดวรรณคดี. ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ. เรียกใช้เมื่อ 8 เมษายน 2568 จาก https://vajirayana.org/ชุมนุมพระบรมราชาธิบาย-ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว-ภาคที่-๑-หมวดวรรณคดี/ตอน-๓-ว่าด้วยนามสถานที่ต่างๆ/ว่าด้วยเรื่องแขกเรียกเมืองมะกะและเมืองมะดีนะว่าเมืองกบิลพัสดุ์
ERGUL, F. A. (2012). The Ottoman Identity: Turkish, Muslim or Rum? Middle Eastern Studies, 48(4), 629-645. Retrieved April 8, 2025, from http://www.jstor.org/stable/41721156
Reid, A. (2005). An Indonesian frontier : Acehnese and other histories of Sumatra. Singapore University Press. Retrieved April 8, 2025
Roman Empire. (2025, April 9). Retrieved April 17, 2025, from Encyclopedia Britannica: https://www.britannica.com/place/Roman-Empire
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 19 เมษายน 2568