เมื่อ “องเชียงสือ” หนีรัชกาลที่ 1 กลับไปกู้เวียดนาม เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เหงวียน

จักรพรรดิซาล็อง องเชียงสือ ประกอบเรื่อง องเชียงสือหนีรัชกาลที่ 1
ภาพวาดจักรพรรดิซาล็อง (องเชียงสือ) ที่แพร่หลายในหมู่ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์เวียดนาม

ค้นเรื่องราวจากพงศาวดาร เมื่อองเชียงสือหนีรัชกาลที่ 1 กลับไปกู้เวียดนาม เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เหงวียน

“องเชียงสือ” ที่ต่อมาคือ จักรพรรดิซาล็อง ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เหงวียนแห่งเวียดนาม เคยมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ที่กรุงเทพฯ อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะ “หนี” กลับแผ่นดินญวนไปกอบกู้บ้านเมือง สร้างความขัดเคืองพระทัยแก่เจ้าวังหน้า ถึงขั้นเตรียมกองเรือจะไปไล่ล่า แต่รัชกาลที่ 1 ทรงห้ามปรามไว้ เกิดอะไรขึ้นบ้างในเหตุการณ์คราวนั้น?

องเชียงสือลี้ภัยมากรุงเทพฯ

องเชียงสือ คือชื่อในเอกสารไทย แต่พระนามเดิมของเจ้านายญวนองค์นี้ คือ “เหงวียนฟุกแอ๋งห์” บุตรคนที่ 3 ของเหงวียนฟุกลวน ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2305

ตระกูลเหงวียนเป็นเจ้าผู้ปกครองดินแดนอันนัม (เวียดนามกลาง-ใต้) มาอย่างยาวนาน แต่ต้องเผชิญการลุกฮือของกบฏชาวนา เรียกว่า “เต็ยเซิน” หรือไกเซิน ซึ่งตีชิงเอาดินแดน บีบให้องเชียงสือต้องพาครอบครัวและไพร่พลลี้ภัยมายังกรุงเทพฯ เพื่ออาศัยพระบรมโพธิสมภารพระเจ้าแผ่นดินสยาม รัชกาลที่ 1

องเชียงสือ จักรพรรดิซาล็อง
องเชียงสือ หรือ พรรดิซาล็อง

พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) เล่าถึงเหตุการณ์คราวนั้นว่า

“ในปีขาล จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๔๔ ปีนั้น (พ.ศ. 2325) ฝ่ายข้างเมืองญวนองไกเซิน เจ้าเมืองกุยเยิน ยกกองทัพมาตีเมืองไซ่ง่อน องเชียงสือเจ้าเมืองยกพลทหารออกต่อรบ ต้านทานมิได้ก็แตกฉานพ่ายหนีทิ้งเมืองเสีย พามารดาและบุตรภรรยาและขุนนางสมัครพรรคพวก ลงเรือแล่นหนีมาทางทะเลขึ้นอาศัยอยู่ ณ เกาะกระบือ

พระยาชลบุรี พระระยองออกไปตระเวนสลัดถึงเกาะกระบือ พบองเชียงสือ ๆ เล่าความให้พระยาชลบุรี พระระยองฟังว่า องเชียงสือเป็นบุตรองคางเวือง เป็นหลานพระเจ้าแผ่นดินญวน บ้านเมืองเสียแก่ข้าศึกหนีมา พระยาชลบุรี พระระยอง รู้ความแล้วจึงชวนองเชียงสือให้เข้ามากรุง…”

พระราชพงศาวดารชี้ว่า แรกทีเดียวองเชียงสือไม่เต็มใจจะขอพึ่งบุญกษัตริย์สยามนัก เพราะในสมัยพระเจ้าตากสินเคยมีเจ้านายญวนลี้ภัยมากรุงธนบุรีแล้วถูกฆ่า แต่พระยาชลบุรี-พระยาระยอง ยืนยันว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ทรงเปี่ยมพระเมตตากรุณาอย่างมาก ไม่ดุร้ายเหมือนพระองค์ก่อน ท้ายที่สุดก็มีหนังสือบอกไปยังกรุงเทพฯ และรัชกาลที่ 1 โปรดให้พาองเชียงสือเข้ามาเฝ้า

องเชียงสือขณะนั้นอายุ 33 ปี รับโปรดเกล้าฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ใต้บ้านต้นสำโรง ซึ่งรัชกาล 1 ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงเจ้านายญวนพระองค์นี้เหมือน “นักองค์เอง” เจ้านายเขมรอีกพระองค์ที่ทรงรับอุปถัมภ์ไว้เช่นกัน ดังว่า

“พระราชทานเบี้ยหวัดองเชียงสือปีละ ๕ ชั่ง แล้วพระราชทานเครื่องยศถาดหมาก คนโททอง กระบี่บั้งทอง กลดคันสั้น… โปรดเกล้าฯ ให้องเชียงสือเข้าเฝ้าทุกวัน

องเชียงสือนั้น เข้ามาเฝ้าขี่เรือญวน ๖ แจวบ่าวกั้นร่มให้ ครั้นเข้าไปเฝ้าโปรดให้เฝ้าข้างพระเฉลียงพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ด้านตะวันตกเหลี่ยมเสาท้องพระโรงหน้าเจ้ากรมพระตำรวจ นั่งขัดสมาธิตามเพศญวน โปรดให้พระราชมนตรีล่ามเข้าไปด้วย”

องเชียงสือ เข้าเฝ้าฯ รัชกาลที่ 1
องเชียงสือเข้าเฝ้าฯ รัชกาลที่ 1 วาดโดยพระเชียงอิน ใน ค.ศ. 1887 ถ่ายโดยอภินันท์ โปษยานนท์ (ภาพจาก หนังสือจิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในราชสำนัก จัดพิมพ์โดยสำนักพระราชวัง)

องเชียงสือหนีกลับไปกู้แผ่นดิน

หลังจากองเชียงสือมาพึ่งพระบารมีอยู่ที่กรุงเทพฯ ใน พ.ศ. 2328 รัชกาลที่ 1 ก็ทรงมีพระราชบัญชาส่งกองทัพไปรบกับพวกเต็ยเซิน หมายจะชิงเวียดนามคืนให้องเชียงสือ มีกรมหลวงเทพหริรักษ์เป็นแม่ทัพ แต่ทัพสยามราว 2-5 หมื่นนายประสบความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน บริเวณลำน้ำของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เรียกว่า “สมรภูมิเหร็จเกิ้ม-สว่ายมุ๊ท” ซึ่งเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเต็ยเซินต่อการรุกรานของสยามในครั้งนั้น

ความล้มเหลวดังกล่าวทำให้องเชียงสือต้องทบทวนแผนการของตนอีกครั้ง เมื่อความช่วยเหลือจากสยามไม่ช่วยให้บรรลุเป้าหมาย จึงปรึกษากับขุนนางญวนที่ติดตามด้วย ดังความในพระราชพงศาวดารว่า

“เราหนีข้าศึกเข้ามาพึ่งพระบรมเดชานุภาพ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 1) ก็ทรงพระกรุณาโปรดชุบเลี้ยงให้ความสุข แล้วโปรดให้กองทัพยกออกไปตีข้าศึกจะคืนเอาเมืองให้ก็ยังหาสำเร็จไม่

บัดนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชกังวลด้วยการศึกพม่ายังรบพุ่งติดพันกันอยู่ เห็นจะช่วยธุระเรามิได้ ครั้นจะกราบทูลถวายบังคมลาออกไปคิดเอาบ้านเมืองคืนด้วยกำลังตนเอง ก็เกรงพระราชอาชญาอยู่ บางทีจะไม่โปรดให้ไป จะต้องหนีออกไปจึงจะได้”

พอได้ข้อสรุปแล้ว จึงเขียนหนังสือกราบถวายบังคมลาไว้ในโต๊ะบูชา สั่งองกว้าน องญี่ เตรียมเรือใหญ่ (สำเภาเดินสมุทร) รอไว้ที่เกาะสีชัง พลบค่ำจึงชวนนายจันท์ นายอยู่ นายเมือง ตำรวจในสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ จ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ไปเลี้ยงสุราที่เรือน มอมสุราทั้ง 3 คนจนหมดสติ แล้วให้คนมัดมือหามลงไปไว้ในท้องเรือ จากนั้นพาครอบครัวกับพรรคพวกลงเรือหนีไปกลางดึกด้วยเรือ 4 ลำ กับไพร่พลราว 150 คน

ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์จึงแจ้งความพระยาพระคลัง ให้นำความขึ้นกราบบังคมทูลรัชกาลที่ 1 และกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้าพระยาเสือ) ให้ทรงทราบ กรมพระราชวังบวรฯ ทรงขัดเคืองพฤติการณ์ขององเชียงสือเป็นอย่างมาก นำเรือพระที่นั่งและเรือข้าราชการรีบเสด็จตามไป พอรุ่งสางก็ตามไปจนเห็นเรือญวนที่ปากอ่าว

วังหน้าพระยาเสือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ขุนนางวังหน้า
พระบวรราชานุสาวรีย์กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท หรือวังหน้า “พระยาเสือ” ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร

องเชียงสือเห็นเรือสยามติดตามมาถึงปากอ่าวเมืองสมุทรปราการ ประจวบกับพยายามจะกางใบเรือขัดลมแต่ไม่เป็นผล จึงจุดธูปเทียนเผากระดาษบูชาเทวดา แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า หากไปทำศึกเอาบ้านเมืองคืนได้สมปรารถนา ขอให้มีลมพัดส่งให้ไปได้โดยสะดวก แต่ลมก็ไม่มา เห็นแต่เรือพระที่นั่งและข้าราชการสยามไล่ตามมาจำนวนมาก

แม้จะเร่งให้แจวเรือหนี แต่ฝ่ายไทยก็ใกล้เข้ามาทุกที องเชียงสือจึงคิดจะทำอัตวินิบาตกรรม ดังความว่า

“องเชียงสือว่าถ้าหนีไม่พ้น ไทยจับไปได้ครั้งนื้คงจะฆ่าเสีย ถ้าไม่ฆ่าคงจะจำตายในคุก เราเป็นคนไม่มีวาสนาแล้วจะอยู่ไปใยให้หนักแผ่นดิน ว่าแล้วก็ชักดาบออกจะเชือดคอตายเสีย องภูเวกระโดดเข้าชิงดาบในมือองเชียงสือไว้ จนปลายดาบบาดปากองภูเว ๆ จึงว่าท่านจะมาทำตัวตายก่อนไม่สมควร”

ไม่นานหลังจากเหตุการณ์นี้ ปรากฏมีลมว่าวพัดมา เรือญวน 4 ลำ ตั้งใบจนแล่นหนีห่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ฝ่ายสยามจึงหยุดติดตาม

องเชียงสือไปถือเรือใหญ่ที่เกาะสีชัง ก็ตระหนักว่า “เราหนีมาได้ทั้งนี้ ก็เพราะพระเจ้าแผ่นดินทรงพระเมตตา ห้ามมิให้ด่านกักขังเรือพวกเราที่ไปมา หากินในท้องทะเลจึงหนีมาได้โดยสะดวก”

ฝ่ายกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เสด็จกลับมาเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 1 กราบทูลว่าตามญวนไปถึงปากอ่าว พอมีลมว่าวพัดก็ติดตามไม่ทัน จะขอพระราชทานเรือรบทะเลไปติดตามจับตัวองเชียงสือให้จงได้

ระหว่างนั้นเองพวกข้าหลวงที่ไปค้นเรือนขององเชียงสือได้พบหนังสือกราบถวายบังคมลาของเจ้าญวน จึงนำมาถวายและทรงพระกรุณาให้อ่าน ได้ความว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าองเชียงสือเข้ามาพึ่งพระบรมบุญญาภินิหาร ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงได้ความสุข บัดนี้มีความวิตกถึงบ้านเมืองนัก ครั้นจะกราบทูลถวายบังคมลากลับออกไปก็เกรงพระราชอาชญา จึงต้องคิดอ่านหนีไปด้วยเป็นความจำเป็น ใช่จะคิดอ่านกบฏกลับมาประทุษร้ายนั้นหามิได้ ขอเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทไปกว่าจะสิ้นชีวิต

ซึ่งถวายบังคมลาไปทั้งนี้ จะไปตั้งส้องสุมเกลี้ยกล่อมผู้คนเข้ามาตีเอาเมืองคืนให้จงได้ แม้ขัดสนปืนกระสุนดินดำเหลือกำลังประการใด ก็จะบอกเข้ามารับพระราชทานปืนกระสุนดินดำ และกองทัพออกไปช่วย กว่าจะสำเร็จการสงคราม คืนเอาบ้านเมืองได้แล้วจะขอเป็นเมืองขึ้นขอบขัณฑสีมาสืบไป”

ได้ทรงทราบในหนังสือแล้ว จึงมีพระราชโองการตรัสห้ามสมเด็จพระอนุชาธิราชว่า “อย่ายกทัพไปติดตามจับเขาเลย เขาเห็นว่าเราช่วยธุระเขาไม่ได้ด้วยมีศึกติดพันกันอยู่ เขาจึงหนีไปคิดจะตีเอาบ้านเมืองคืน เรามีคุณแก่เขาเขียนด้วยมือแล้วจะลบด้วยเท้ามิบังควร

พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า กรุงเทพมหานคร

กรมพระราชวังบวรฯ จึงกราบทูลว่า องเชียงสือมาอยู่กรุงเทพฯ หลายปี รู้ตื้นลึกหนาบางก็มาก ภายภาคหน้าหากเป็นศัตรูจะสร้างความลำบากแก่สยามได้ เมืองสมุทรปราการก็ยังไม่พร้อมจะเป็นหน้าด่านรับศึกจากศัตรูทางทะเล จึงขอรับพระราชทานสร้างเมืองที่ปากลัด รัชกาลที่ 1 ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อนุญาตให้สร้างป้อมที่ใต้ลัดต้นโพธิ์ ซึ่งปัจจุบันคือบริเวณคลองลัดโพธิ์ อ. พระประแดง จ. สมุทรปราการ

ด้านองเชียงสือ ที่สุดก็สามารถกู้คืนอำนาจ รวมแผ่นดินเวียดนามได้สำเร็จ เฉลิมพระนาม “จักรพรรดิซาล็อง” ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เหงวียน และสามารถโค่นล้มราชวงศ์เต็ยเซินย่างสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2345 ด้วยความช่วยเหลือจากสยามหลายครั้ง เป็นที่มาของการส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองมาถวายรัชกาลที่ 1 ถึง 6 ครั้งตลอดรัชกาล

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

ทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา เรียบเรียง; สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตรวจชำระและทรงพระนิพนธ์อธิบาย. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. (ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ)

สุเจน กรรพฤทธิ์. ไม่เต็มพระทัยไปสยามแต่ต้องไป “องเชียงสือ” ในหลักฐานเวียดนาม. ศิลปวัฒนธรรม ฉบับมกราคม พ.ศ. 2562.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 21 มีนาคม 2568