ตามรอยการกำเนิด “อนุสาวรีย์ชาวนาญี่ปุ่น” รุ่นแรกในสยาม โศกนาฏกรรมที่ถูกลืม

อนุสาวรีย์ชาวนาญี่ปุ่นรุ่นแรกที่อพยพมาทำงานก่อสร้างทางรถไฟสายโคราชจนถึงแก่กรรมในวัดแก่งคอย อ.แก่งคอย จ.สระบุรี (ภาพจากหนังสือ ความสัมพันธ์ไทย - ญี่ปุ่น 600 ปี. โดยมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์)

ตามรอยการกำเนิด “อนุสาวรีย์ชาวนา(ผู้อพยพ)ญี่ปุ่น” ณ วัดเเก่งคอย จังหวัดสระบุรี กับ “ผู้อพยพญี่ปุ่น” รุ่นแรกในสยาม โศกนาฏกรรมที่ถูกลืม

ประเทศไทยและญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์กันมายาวนาน ตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีหรืออาจนานกว่านั้น

มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย บ้างถูกจดจำ บ้างถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา และหนึ่งในเหตุการณ์ที่อาจจะถูกลืมไปแล้ว คือเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลด ที่นำมาสู่การก่อกำเนิดของ “อนุสาวรีย์ผู้อพยพชาวญี่ปุ่นรุ่นเเรก”

อิชิอิ โยเนะโอะ และโยชิกาวะ โทชิฮารุ เขียนถึงเรื่องราวของโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าของชาวนาญี่ปุ่นในสยาม อันเป็นที่มาของอนุสาวรีย์ผู้อพยพชาวญี่ปุ่นรุ่นเเรกไว้ในหนังสือ “ความสัมพันธ์ไทย – ญี่ปุ่น 600 ปี” โดยเรียบเรียงเรื่องราวและรายละเอียดต่างๆ ของเหตุการณ์นี้เอาไว้

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ประเทศญี่ปุ่นมีนโยบายที่จะ “ระบายพลเมือง” ซึ่งเป็นแนวความคิดที่จะอพยพพลเมืองชาวญี่ปุ่นออกนอกประเทศ มีบริษัทต่างๆ เกิดขึ้นมามากมาย เพื่ออพยพชาวญี่ปุ่นที่มีประสงค์จะออกนอกประเทศให้สมความปรารถนา เช่น บริษัทคิชิสะการอพยพ และ สมาคมการอพยพ เป็นต้น บริษัทเหล่านี้ตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการอพยพชาวญี่ปุ่นไปยังประเทศต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่สยาม หรือก็คือ “บริษัทอพยพญี่ปุ่น – สยาม”

ผู้อพยพชาวญี่ปุ่นจำนวน 52 คน จากจังหวัดยามากุชิ ได้เดินทางออกจากญี่ปุ่นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2437 (ค.ศ. 1894 ) เพื่อเดินทางมาตั้งรกรากทำการเกษตรในสยาม แต่ด้วยปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องสัญญากับบริษัทผู้อพยพญี่ปุ่น – สยาม ทำให้บางคนที่พอมีเงินเหลือติดตัวอยู่บ้าง เลือกที่จะเดินทางต่อไปยังประเทศสิงคโปร์ อีก 7 คนเดินทางไปเป็นกรรมกรก่อสร้างทางรถไฟสายโคราช และอีก 15 คนได้เดินทางไปภูขนองทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเป็นกรรมกร การทำเกษตรที่ตั้งใจไว้แต่แรกจึงถูกยกเลิกไป

เวลาผ่านไปจนถึงเดือนกันยายนปีเดียวกันนั้น ชาวนาญี่ปุ่นที่ไปภูขนอง ได้เดินทางกลับกรุงเทพอย่างกระทันหัน จำนวน 4 คน โดยมีลักษณะ ผอมเเห้ง หน้าตาซูบซีด ท่าทางอ่อนเเรง ซึ่งพอถูกถามทั้งสี่คนก็เล่าสาเหตุให้ฟังว่า ทุกคนเป็นไข้ป่า (อาจเป็นไข้มาเลเรีย) บางคนก็ตาย บางคนที่เหลือกำลังนอนรอความตายอยู่

เเม้บริษัท ผู้อพยพญี่ปุ่น-สยาม จะส่งคนไปช่วยเหลือ เเต่ก็สายเกินไป ทุกคนเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้เเล้ว และชาวนาญี่ปุ่นที่เดินทางกลับมากรุงเทพ 2 คน ก็ร่างกายทรุดโทรมลงมาก เเละเสียชีวิตในเวลาต่อมาจากโรคอหิวาต์

สาเหตุของโศกนาฏกรรมดังกล่าวถูกเปิดเผยในเวลาต่อมา โดยในช่วงเเรกนั้น มีข่าวลือว่าเกิดจากการกลั่นเเกล้งของ เอลี เดอเบส ผู้คุมเหมืองเเร่ชาวฝรั่งเศส เเต่เมื่อเดอเบสเเละผู้มีชีวิตรอดเข้าพบ นายอิชิบาชิ ซึ่งเป็นผู้จัดการบริษัท เเละได้พูดคุยกัน จึงได้ข้อสรุปของเหตุการณ์

โดยแท้จริงแล้ว เดอเบสเป็นห่วงคนงานญี่ปุ่นในการรับประทานอาหาร เพราะชาวญี่ปุ่นมักกินอาหารที่ไม่ค่อยมีประโยชน์ จึงได้เเบ่งอาหารจำพวกเนื้อ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู ให้เเก่กรรมกรชาวญี่ปุ่น เเต่ชาวญี่ปุ่นกลับไม่กิน เเละเอาไปเเลกเป็นเงินจากชาวบ้านเเทน ถึงอย่างนั้น เดอเบสก็ยังเเบ่งยาบำรุงให้คนงานชาวญี่ปุ่นกินเป็นประจำ เเต่ก็ยังเจ็บไข้อยู่เสมอ จนกระทั้งเดอเบสเดินทางมากรุงเทพ จึงได้ชักชวนชาวญี่ปุ่นให้มาด้วย เเต่ถูกปฏิเสธเพราะเสียดายค่าเดินทาง

อาจกล่าวได้ว่า ชาวนายากจนในยุคเมจิแต่ละคนนั้น คิดเเต่จะเก็บเงินท่าเดียว ถึงเเม้จะเพียงน้อยนิดก็ยังสะสมไว้เพื่อนำกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตน ด้วยความคิดเช่นนี้ เเทนที่ผลจะสวยงามอย่างที่พวกเขาวาดฝันเอาไว้ เเต่กลับกลายเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าสำหรับพวกเขาเเทน

โศกนาฏกรรมนี้ส่งผลให้บริษัท ผู้อพยพญี่ปุ่น – สยาม ต้องปิดตัวลงไป อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน เราสามารถระลึกถึงพวกเขาได้ โดยการหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนอนุสาวรีย์ของพวกเขา คือ “อนุสาวรีย์ผู้อพยพชาวญี่ปุ่นรุ่นเเรก” ณ วัดเเก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาเหล่านั้นทิ้งชีวิตเอาไว้


อ้างอิง

“ชาวญี่ปุ่นในสมัยเมจิที่เดินทางมาไทย ตอนที่ 1 ความล้มเหลวสองครั้งในการอพยพชาวนาญี่ปุ่น” .หนังสือ “ความสัมพันธ์ไทย – ญี่ปุ่น 600 ปี”. โดย อิชิอิ โยเนะโอะ และ โยชิกาวะ โทชิฮา. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 28 มกราคม 2558