ตามรอยพระแก้วมรกต มี “วัดพระแก้ว” หรือที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต อยู่ไหนบ้าง?

ภาพลายเส้น วัดพระแก้ว
ภาพลายเส้นวัพระแก้ว (วัดพระศรีรัตนศาสดาราม) (ภาพจากท้องถิ่นสยามยุคพระพุทธเจ้าหลวง

“พระแก้วมรกต” หรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ในทัศนะของรัชกาลที่ 4 ทรงมีความเห็นว่า ค้นพบในเจดีย์ที่เมืองเชียงราย เพราะสอดคล้องกับรูปแบบทางศิลปกรรมแบบล้านนา เชียงรายจึงเป็นจุดแรกที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ก่อนจะถูกอัญเชิญไปเมืองต่าง ๆ จากนั้นจึงมาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร

พระแก้ว พระแก้วมรกต สีเขียว มรกต
พระแก้วมรกตเมื่อมิได้ประดับเครื่องทรง (ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

เส้นทางอัญเชิญพระแก้วมรกต

จากตำนานพระแก้วมรกตเล่าว่า มีการอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญองค์นี้จากเชียงรายมายังเมืองเขลางค์นคร 32 ปี ก่อนนำไปไว้ที่เชียงใหม่ในสมัยพระเจ้าติโลกราช

กระทั่งปลายราชวงศ์มังราย พระไชยเชษฐาได้เสด็จมาครองเมืองเชียงใหม่ เมื่อพระเจ้าโพธิสาลราชที่เมืองหลวงพระบางสวรรคต พระองค์จึงเสด็จกลับไปครองหลวงพระบาง พร้อมนำพระแก้วมรกตและพระพุทธรูปสำคัญอื่น ๆ ไปยังหลวงพระบางด้วย

ต่อมาเมื่อพระไชยเชษฐาเสด็จลงมาครองเมืองเวียงจันทน์ พระแก้วมรกตก็มาประดิษฐานที่นครเวียงจันทน์ด้วย แล้วมีการอัญเชิญมาอยู่ที่กรุงธนบุรีในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต่อด้วยกรุงเทพฯ จนถึงปัจจุบัน

เป็นเส้นทางอัญเชิญพระแก้วมรกตจากเชียงราย สู่ลำปาง เชียงใหม่ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ กรุงธนบุรี และกรุงเทพฯ

“วัดพระแก้ว” หรือที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต อยู่ไหนบ้าง?

จากเส้นทางข้างต้น สถานที่ที่พระแก้วมรกตเคยประดิษฐานนับแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน มีดังนี้

1. วัดพระแก้ว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย สถานที่ตามตำนานที่เล่ากันว่าเป็นจุดค้นพบพระแก้วมรกต เมื่อราว พ.ศ. 1897 ในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนแห่งเชียงใหม่

วัดพระแก้ว เชียงราย เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตมาก่อน
วัดพระแก้ว เชียงราย เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตมาก่อน

2. วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม (พ.ศ. 1979-2011) อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ก่อนพระเจ้าติโลกราชจะทรงอัญเชิญไปที่เชียงใหม่

มณฑปปราสาทแบบพม่า วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม จังหวัดลำปาง
มณฑปปราสาทแบบพม่า วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม จังหวัดลำปาง

3. วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร (พ.ศ. 2011-2096) อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พระเจ้าติโลกราชทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตจากลำปางมาประดิษฐานไว้ที่สถูปเจดีย์หลวง

วัดเจดีย์หลวง
ภาพ : เพจเฟซบุ๊ก วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เชียงใหม่ Wat Chedi Luang Chiang Mai

4. หอพระแก้ว เมืองหลวงพระบาง พระเจ้าไชยเชษฐาอัญเชิญมาไว้เมื่อคราวเสด็จกลับจากเชียงใหม่มาครองเมืองหลวงพระบางช่วงสั้น ๆ ไม่ถึงปี (บางหลักฐานว่าอัญเชิญมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าโพธิสาลราช ก่อนรัชกาลพระเจ้าไชยเชษฐา)

หอพระแก้ว หลวงพระบาง
หอพระแก้ว หลวงพระบาง สร้างสมัยพระไชยเชษฐาธิราช ภาพนี้เป็นภาพปัจจุบัน หลังการบูรณะในปี พ.ศ. 2479

5. หอพระแก้ว เมืองเวียงจันทน์ (พ.ศ. 2096-2322) สร้างขึ้นโดยพระกระแสรับสั่งในพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช หลังย้ายมาประทับที่นครเวียงจันทน์ เมื่อ พ.ศ. 2103 พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ที่นี่เป็นเวลาถึง 219 ปี

หอพระแก้ว เวียงจันทน์ ที่ทรุดโทรมลงเมื่อคราวศึกเจ้าอนุวงศ์ ภาพลายเส้นวาดโดย เดอ ลาปอร์ท
หอพระแก้ว เวียงจันทน์ ที่ทรุดโทรมลงเมื่อคราวศึกเจ้าอนุวงศ์ ภาพลายเส้นวาดโดย เดอ ลาปอร์ท เมื่อปี ค.ศ. ๑๘๖๖ (พ.ศ. ๒๔๐๙) (ภาพจาก A Pictorial Journal on the Old Mekong Cambodia, Laos and Yunnan, 1998.)

6. วัดอรุณราชวราราม (พ.ศ. 2322-2327) ฝั่งธนบุรี เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงอาราธนาพระแก้วมรกตจากเวียงจันทน์มาไว้ ณ พลับพลาวัดแจ้ง (ต่อมาคือวัดอรุณฯ)

พระปรางค์วัดอรุณฯ
พระปรางค์วัดอรุณฯ

7. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (พ.ศ.2327-ปัจจุบัน) หรือ “วัดพระแก้ว” เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานในพระอุโบสถของวัด

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระแก้ว
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ภาพจาก หนังสือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก)

ทั้งนี้ หลักฐานบางชิ้น เช่น “สังคีติยวงศ์” ชี้ว่า พระแก้วมรกตเคยประดิษฐานที่ “วัดโพธิ์” หรือวัดพระเชตุพนฯ ระยะหนึ่ง ก่อนมาอยู่ที่พระอุโบสถวัดพระแก้วจนถึงปัจจุบัน

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

ปรามินทร์ เครือทอง. พุทธคุณพระแก้วมรกต. ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2551.

พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. เส้นทางอัญเชิญพระแก้วมรกต. ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2545.

สายชล สัตยานุรักษ์. พระแก้วมรกต : จากล้านนาสู่ล้านช้าง ถึงกรุงธนบุรี-กรุงเทพฯ. ศิลปวัฒนธรรม ฉบับสิงหาคม 2551.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2567