เจ้าฟ้าพาหุรัตมณีมัย พระราชธิดาในรัชกาลที่ 5 ที่มาชื่อถนนพาหุรัด

เจ้าฟ้าพาหุรัตมณีมัย ถนนพาหุรัด

หลายคนอาจคิดว่า ถนนพาหุรัด แหล่งค้าผ้าชื่อดังของกรุงเทพฯ ที่ตั้งชุมชนชาวไทยเชื้อสายอินเดีย จนหลายคนขนานนามย่านนี้ว่า “ลิตเติล อินเดีย” ได้ชื่อถนนจากภาษาต่างชาติ แต่ที่จริงแล้ว ถนนนี้ได้ชื่อตาม “เจ้าฟ้าพาหุรัตมณีมัย” ผู้เป็นพระราชโสทรเชษฐภคินี (พี่สาวร่วมสมเด็จพระบรมชนกนาถและสมเด็จพระบรมราชชนนี) ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระราชธิดา คือ เจ้าฟ้าพาหุรัตมณีมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงฉายกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
เจ้าฟ้าพาหุรัตมณีมัย ที่มาชื่อ “ถนนพาหุรัด”

พระองค์ทรงเป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2421

Advertisement

เมื่อเจริญพระชันษา พระองค์ได้โดยเสด็จพระบรมชนกนาถประพาสเมืองเพชรบุรี ระหว่างนั้นประชวรไข้ แม้เสด็จกลับพระนครแล้วก็ยังไม่ทรงดีขึ้น ทั้งพระอาการยังทรุดลงถึงขั้นเสวยพระกระยาหารไม่ได้ ทำให้ทรงมีพระวรกายซูบผอม พระยอด (ฝี) ขึ้นตามพระวรกาย

ท้ายสุด พระองค์ก็สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2439 สิริพระชันษา 8 ปี

เจ้าฟ้าพาหุรัตมณีมัย

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงระลึกถึงพระราชธิดาพระองค์นี้ จึงทรงตั้งชื่อถนนสายหนึ่งในพระนครว่า “ถนนพาหุรัด” เพื่อเป็นอนุสรณ์

ถนนพาหุรัด เริ่มจากถนนบ้านหม้อมาตัดถนนจักรเพชร เดิมพื้นที่บริเวณนั้นเป็นชุมชนที่อยู่อาศัย แต่ต่อมาเกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านญวนแถบตำบลบ้านหม้อในระยะเวลาติดๆ กัน จุดที่เกิดเพลิงไหม้กลายเป็นพื้นที่โล่ง กินพื้นที่กว้างพอที่จะตัดถนนได้

สมัยรัชกาลที่ 5 ถนนพาหุรัดนับเป็นถนนสายสำคัญสายหนึ่ง เพราะมีชาวต่างชาติโดยเฉพาะพวกแขกมาตั้งถิ่นฐานค้าขายอยู่มาก และยังคงปรากฏร่องรอยมาถึงทุกวันนี้

อ่านเพิ่มเติม : 

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง : 

ปิยะนาถ อังควาณิชกุล. “การสร้างความเป็นตะวันตกให้กับเมืองบางกอกในช่วงการปรับตัวให้ทันสมัย”. วารสารประวัติศาสตร์, 2549.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 3 สิงหาคม 2567