สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 แห่งโมร็อกโก ช่วยยิว 250,000 คน พ้นความตายนาซี

สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 แห่ง โมร็อกโก การประชุมคาซาบลังกา สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 แห่งโมร็อกโก
สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 แห่งโมร็อกโก ประทับด้านซ้าย ในการประชุมคาซาบลังกา ปี 1943

สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 แห่งโมร็อกโก ช่วยยิว 250,000 คน พ้นความตายนาซี

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นาซีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนับล้านคน และหากมีโอกาสที่จะทำลายล้างชาวยิวให้สิ้น นาซีก็ไม่ลังเลที่จะทำ เช่นเดียวกับใน “โมร็อกโก” แต่สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 แห่งโมร็อกโก ไม่ทรงยินยอมให้นาซีกระทำการดังกล่าวกับชาวยิว 250,000 คน ทำให้พวกเขาพ้นความตายไปได้อย่างหวุดหวิด

โมร็อกโก ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา เป็นรัฐสุลต่านในอารักขาของฝรั่งเศสมาตั้งแต่ ค.ศ. 1912 ซึ่งการเป็นรัฐในอารักขา หมายถึงรัฐที่สามารถปกครองตนเอง แต่ยินยอมยกอำนาจอธิปไตยหรืออำนาจอื่นๆ ที่มี ให้กับรัฐที่เป็น “ผู้อารักขา”

ในทศวรรษ 1940 สุลต่านที่ปกครองโมร็อกโกคือ โมฮัมเหม็ด เบน ยูเซฟ (Mohammed ben Youssef) หรือที่รู้จักในพระนาม สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 พระโอรสของยูเซฟ เบน ฮัสซัน (Yusef ben Hassan) สุลต่านองค์ก่อน ตอนแรกผู้ที่ต้องสืบทอดตำแหน่งสุลต่านคือพี่ชายคนโตของสุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 แต่ฝรั่งเศสตัดสินใจเลือกพระองค์ขึ้นมา เพราะคิดว่าสามารถควบคุมเป็นหุ่นเชิดได้

แต่ฝรั่งเศสคิดผิดอย่างมหันต์!

หันไปดูสถานการณ์โลก หลังจาก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำนาซีเยอรมัน ขึ้นสู่อำนาจเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 1933 เขาก็แผ่อำนาจนาซีไปทั่วยุโรป ควบคู่กับการเผยแผ่ลัทธิต่อต้านชาวยิว

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างการให้ปาฐกถา ณ สถานที่แห่งหนึ่ง (ไม่มีข้อมูลระบุไว้) เมื่อปี 1937 (AFP PHOTO / FRANCE PRESSE VOIR)

เดือนพฤษภาคม ปี 1940 กองทัพนาซีเยอรมันบุกฝรั่งเศส หลังจากนั้นไม่นานก็เกิด “ระบอบวิชี” (Vichy) คือรัฐบาลฝรั่งเศสภายใต้การกำกับของเยอรมัน ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนใต้ รวมทั้งดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศส

รัฐบาลฝรั่งเศสเขตวิชีออกคำสั่งต่อต้านชาวยิว 250,000 คน ที่อาศัยอยู่ในโมร็อกโก แม้โมร็อกโกจะมีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม แต่ชาวยิวก็ผสมผสานเข้ากับสังคมที่นี่ได้ และอยู่ภายใต้การอารักขาของราชวงศ์

“ไม่มีชาวยิวในโมร็อกโก มีเพียงชาวโมร็อกโกในความดูแลเท่านั้น” สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 ทรงกล่าวไว้ แน่นอนว่าย่อมสร้างความไม่พอใจให้รัฐบาลฝรั่งเศสเขตวิชี นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงต่อต้านคำสั่งของระบอบวิชี ที่จำกัดที่อยู่อาศัยของชาวยิว จำกัดการทำงานและการไปโรงเรียน อีกด้วย

โรเบิร์ต อัสซาราฟ (Robert Assaraf) นักประวัติศาสตร์และนักเขียนชาวโมร็อกโกเชื้อสายยิว ระบุไว้ในการศึกษาเรื่อง “Mohammed V and the Jews of Morocco During the Vichy Era” ในปี 1997 ว่า “พระองค์ทรงเป็นผู้ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติโดยเนื้อแท้” และอีกเหตุผลที่ทรงดูแลชาวยิวเหล่านี้ ก็เพราะทรงเชื่อว่า เป็นความรับผิดชอบที่พระผู้เป็นเจ้ามอบหมายแก่พระองค์

สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 โมร็อกโก
(ซ้าย) สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 และพระโอรส ในปี 1950 (ภาพจาก Wikimedia Commons)

แม้ทรงมีอำนาจ แต่นั่นก็เพียงในนาม ท้ายสุดรัฐบาลฝรั่งเศสเขตวิชีบีบให้สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 ต้องลงพระนามในเอกสารที่จำกัดสิทธิเสรีภาพชาวยิว ส่งผลให้ชาวยิวโมร็อกโกจำนวนมากต้องออกจากงาน เด็กๆ ถูกไล่ออกจากโรงเรียน และเช่นเดียวกับหลายพื้นที่ในยุโรป ครอบครัวชาวยิวถูกบีบให้ออกจากที่พักไปอาศัยในชุมชนแออัดแสนสกปรก

สถานการณ์ของชาวยิวในโมร็อกโกยังคงไม่สู้ดีนัก กระทั่งเดือนพฤศจิกายน ปี 1941 มีเทศกาลเฉลิมฉลองประจำปี ปรากฏภาพสุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 อยู่กับเหล่าแรบไบ (ผู้นำศาสนาของชาวยิว) และบุคคลผู้ทรงเกียรติชาวยิวอีกหลายคน อันมีนัยถึงการเคียงข้างชาวยิว

เรื่องนี้ทำให้รัฐบาลฝรั่งเขตเขตวิชีโกรธจัด เพราะถือเป็นการท้าทายอำนาจอย่างชัดเจน และเป็นการนำสุลต่านเข้าสู่ความเสี่ยง เพราะนาซีอาจกำจัดพระองค์ได้ทุกเมื่อ ถึงอย่างนั้นพระองค์ก็ทรงอยู่รอดปลอดภัยมาได้

วันที่ 8 พฤศจิกายน ปี 1942 ทหารสหรัฐฯ 35,000 นาย ยกพลขึ้นบกที่เมืองซาฟีและเมืองเฟดาลา เมืองท่าชายฝั่งของโมร็อกโก รัฐบาลฝรั่งเศสเขตวิชีต้านกำลังไม่ไหว และเสียการควบคุมพื้นที่ในที่สุด สุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 ทรงต้อนรับกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตร และส่งกองทหารของโมร็อกโกร่วมรบ

เดือนมกราคม ปี 1943 พระองค์ทรงเป็นเจ้าภาพจัด “การประชุมคาซาบลังกา” (Casablanca Conference) ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรมาร่วมวางยุทธศาสตร์พิชิตฝ่ายอักษะในยุโรป มี แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ วินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เข้าร่วม และผลก็เป็นอย่างในหน้าประวัติศาสตร์ ฝ่ายสัมพันธมิตรมีชัยเหนือฝ่ายอักษะ

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้การปกครองของสุลต่านโมฮัมเหม็ดที่ 5 ไม่มีชาวยิวโมร็อกโกรายใดถูกส่งไปค่ายกักกันเพื่อเผชิญความตาย แต่ก็ต้องสูญเสียชาวยิวโมร็อกโกไปราว 2,100 ราย พวกเขาถูกระบอบวิชีจับกุมตัวในฐานะนักโทษการเมือง แล้วส่งไปใช้แรงงานในค่ายที่ซาฮารา จำนวนไม่น้อยเสียชีวิตเนื่องจากหิวโหย อ่อนเพลียจนหมดแรง และด้วยโรคภัยไข้เจ็บ

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

Theo Zenou. The Moroccan Sultan Who Protected His Country’s Jews During World War II. Smithsonian Magazine. Accessed 12 March 2024.


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 12 มีนาคม 2567