“ชุดชั้นใน” หรือ “บรา” จากสินค้าช่วยเหลือสงคราม-แฟชั่นฮอลลีวูด สู่สิ่งที่หลายคนขาดไม่ได้ !

ยกทรง ชุดชั้นใน บรา การะเกด พรหมลิขิต
ภาพจาก : Ch3 Thailand

แม้ปัจจุบัน การใส่ “บรา” หรือ “ยกทรง” จะลดความนิยมลง เนื่องจากแนวคิดความมั่นใจในรูปร่าง ทั้งยังมีงานวิจัยออกมาว่า การไม่สวมชั้นในไม่ได้เป็นบ่อเกิดของโรคมะเร็งเต้านม รวมไปถึงมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ของชั้นในที่ไม่จำเป็นต้องใส่บราให้อึดอัดเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สำหรับบางคน “บรา” หรือ “ชุดชั้นใน” ยังเป็นเครื่องแต่งกายชนิดหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้เสื้อหรือกางเกง

แล้วเคยสงสัยไหมว่าการใส่ “ยกทรง” เริ่มจากอะไร ทำไมผู้หญิงต้องใส่ด้วย? 

ว่ากันว่า บรา ตัวแรกมีจุดกำเนิดขึ้นมาในสมัยกรีกโบราณ พบหลักฐานเสื้อผ้าคล้าย ชุดชั้นใน ที่ปรากฏในงานอีเลียดของโฮเมอร์ ซึ่งเทพอโฟรไดท์กำลังถอดผ้าคาดเอวที่น่าสงสัยออกจากอกอยู่ รวมไปถึงบทละครของอริสโตฟาเนส อย่างเรื่อง ลีซิสตราตา ก็ปรากฏฉากที่พูดถึงผ้ารัดหน้าอก 

อย่างไรก็ตาม บราที่ตอนนั้นมีหน้าที่เพียงแค่รัดอกเอาไว้ก็ไม่ได้ถือเป็นแฟชั่น เมื่อเทียบกับ “คอร์เซ็ต” สิ่งประดิษฐ์สุดฮอตที่สร้างขึ้นมาช่วง ค.ศ. 1500-1600 และได้รับความนิยมในหมู่สตรีอย่างยาวนาน มีวัสดุสำคัญคือ เหล็ก หรือโลหะ ทำเป็นโครงตามตัวคล้ายอักษร S เพื่อปรับสัดส่วนให้สตรีมากหน้าหลายตามีทรวดทรงองค์เอว โดยในช่วงยุควิกตอเรียนเรียกว่าเป็นเทรนด์ของสาว ๆ ชนชั้นสูงและกลางเลยก็ว่าได้

คอร์เซ็ต
ภาพ คอร์เซ็ต โดย Maison Léoty, French (1891) จาก The Met museum

กระทั่งในปี 1913 บราเซียที่มีรูปร่างคล้ายคลึงปัจจุบันก็โผล่หน้าค่าตามาให้เห็นโดย “คาเรสส์ ครอสบี้” (Caresse Crosby) เนื่องจากเสื้อผ้าของเธอชำรุดจากคอร์เซ็ตที่สวมใส่ไว้ด้านใน จึงทำให้ครอสบี้ต้องเรียกผู้ติดตามให้หยิบผ้าเช็ดหน้าสองผืนในกระเป๋าและริบบิ้นสีชมพูมาให้ ก่อนจะรังสรรค์ให้กลายเป็นบราเซียที่มีทรงคล้ายบิกินี่ โดยต้องผูกเชือกจากด้านหลัง

หลังจากทำเสร็จ เธอก็สวมใส่ออกงาน จนเกิดคำถามตามมาในหมู่แขกในงานว่าเธอสามารถเต้นรำได้อย่างพลิ้วไหวและอิสระเช่นนี้ได้อย่างไร เนื่องจากการใส่คอร์เซ็ตทำให้ร่างกายขยับเขยื้อนลำบาก ก่อนจะพบว่า เธอใส่บราเซียแบบใหม่ที่ไม่ใช่โครงเหล็ก จนมีคนมอบเงินให้ครอสบี้เพื่อตัดเย็บชุดแบบนี้ให้มากมาย ท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจสร้างธุรกิจ “บราเซียไร้หลัง” ขึ้น และจดสิทธิบัตรเจ้าชั้นในแบบฉบับของตนเองในปี 1914

บรา ชุดชั้นใน
Patent design for a “backless brassiere” by Mary Phelps Jacob (Caresse Crosby).

ประจวบเหมาะกับช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 หลายประเทศต้องรวบรวมกำลังพลและทรัพยากรจำนวนมากเพื่อทุ่มเทให้กับการสู้รบครั้งใหญ่หลวงนี้ และในปี 1917 คณะกรรมการอุตสาหกรรมสงครามแห่งสหรัฐฯ ก็ขอให้หญิงอเมริกันหยุดซื้อคอร์เซ็ต เพื่อให้มีเหล็กและโลหะสำหรับการสร้างยานพาหนะ ยุทโธปกรณ์ และยังให้เหตุผลอีกว่า การที่เหล่าสตรีไม่ใส่คอร์เซ็ตจะทำให้พวกหล่อนทำงานในโรงงานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้หญิงจึงต้องหยุดใส่คอร์เซ็ตเพื่อรูปร่างอันสวยงาม ก่อนจะพบว่าการใส่บราเซียแบบใหม่นั้นสบายกว่าไหน ๆ ไม่ต้องทนเจ็บปวดกับความแข็งและรัดแน่นของเหล็ก หลังจากสงครามจบลงวัฒนธรรมการใส่คอร์เซ็ตก็หายวับไปกับตา เหลือเพียงแค่บราเซียที่กำลังเข้ามาเป็นเครื่องแต่งกายกระแสหลัก

วันเวลาผ่านไป บราเซียที่กำเนิดขึ้นมาจากผ้าเช็ดหน้าสองผืน ก็แปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างมากยิ่งขึ้น ช่วงแรกยังคงมีขนาดเดียว เน้นทำจากวัสดุยืดหยุ่นได้เป็นหลัก กระทั่งปลายทศวรรษ 1920 ถึงต้นทศวรรษ 1930 อีนิด บิสเซตต์ (Enid Bissett), William (วิลเลียม) และ Ida Rosenthal (ไอดา โรเซนธาล) ผู้ก่อตั้ง Maidenform แบรนด์ยกทรงที่มีชื่อเสียง ก็คิดระบบไซซ์บราขึ้นมาอย่างที่รู้จักในชื่อคัพ A-B-C-D (แต่บางคนก็เชื่อว่า S.H. Camp and Company เป็นผู้ริเริ่ม) 

ต่อมา ก็พัฒนาให้บรามีสายและตะขอที่ปรับขนาดเองได้ รวมถึงเริ่มคิดค้นบราที่ช่วยเสริมสร้างทรวดทรงของหน้าอกให้เด่นชัดขึ้นเพื่อความสวยงาม 

ความนิยมในบราเซียพุ่งกระฉูดสูงขึ้นไปอีก เมื่อทศวรรษ 1940 ปรากฏภาพดาราฮอลลีวูดสาวอย่าง เจน รัสเซลล์ (Jane Russell) จากเรื่อง “The Outlaw” (1941) กำลังนอนอวดโฉมกับรูปร่างอันงดงามของตนเอง โดยเฉพาะทรวดทรงของหน้าอกที่สวยงาม โดดเด่นออกมาด้วยการใส่บรา

และต่อมาก็มีดาราฮอลลีวูดอีกมากมายสวมใส่ โดยเฉพาะ มาริลีน มอนโร (Marilyn Monroe) ดาราสาวทรงเสน่ห์ ยิ่งทำให้เทรนด์ในการใส่ชุดชั้นในเพื่อดันทรงอก หรือตอนนั้นคือทรง Bullet Bra หรือ Torpedo Bra ภาษาไทยเรียกทรงหัวกระสุน ได้รับความนิยมเป็นพลุแตกครอบคลุมไปถึงช่วง 1950 

ชุดชั้นในจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของเหล่าสตรีไปโดยปริยาย เพราะนอกจากเหล่าไอคอนิกทั้งหลายจะสวมใส่จนเป็นสินค้ามัสต์แฮฟ! ของเหล่าหญิงสาวที่ต้องตามเทรนด์ให้ทันแล้วนั้น ยังมีการระบุไว้เลยว่า ผู้หญิงต้องใส่บราเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของยูนิฟอร์มระหว่างทำงาน จนในช่วงทศวรรษ 1960 มีการเรียกร้องสิทธิของผู้หญิงให้มีอิสระในเรือนร่างของตนเอง 

ก่อนที่จะเกิดชุดชั้นในแบบใหม่ ๆ ตามมา เช่น แบบตะขอหน้า โดย เฟรเดอริก เมลลินเกอร์ (Frederick Mellinger) ผู้ก่อตั้ง Frederick’s of Hollywood เกิดยกทรงแบบสปอร์ตบรา ฯลฯ เพื่อรองรับความต้องการของผู้สวมใส่ที่หลากหลายขึ้นและเจาะตลาดกลุ่มใหม่ ๆ ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน

ทำให้ชุดชั้นในกลายมาเป็นเครื่องแต่งกายสำคัญที่ผู้หญิงขาดไม่ได้นั่นเอง 

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่


อ้างอิง :

https://www.npr.org/2014/08/05/337860700/bra-history-how-a-war-shortage-reshaped-modern-shapewear

https://www.theexploresspodcast.com/episodes/the-evolution-of-the-bra

https://www.nationalgeographic.com/premium/article/bra-brassiere-history-strophion-corset

https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/%E0%B9%83%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2566