ผู้เขียน | วิภา จิรภาไพศาล |
---|---|
เผยแพร่ |
แม้จะเสียกรุงศรีอยุธยาจากสงครามกับพม่าไปตั้งแต่ พ.ศ. 2310 แต่เรื่องราวกว่า 250 ปีของเมืองหลวงเก่าของประเทศแห่งนี้ กลับยังคงเล่าขานต่อเนื่องไม่ขาดสาย ด้วยข้อมูลจากเอกสารหลักฐาน หรือวัตถุพยาน ที่ “คนกรุงศรีอยุธยา” นำเสนอกันมาอย่างต่อเนื่อง
นิตยสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนเมษายน 2565 ก็นำเสนอเรื่องกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน แต่เป็นข้อมูล จากบันทึกของคนกรุงศรีอยุธยา ซึ่ง ธนโชติ เกียรติณภัทร ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เรียบเรียงไว้ในบทความชื่อ “เพลงยาวชาวกรุงเก่า : คำบอกเล่า ‘ความหลัง’ เมื่อครั้งเสียกรุง”
สำหรับเพลงยาวที่ ธนโชติ เกียรติณภัทร นำเสนอนั้นมี 3 ฉบับด้วยกันคือ 1. เพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท 2. เพลงยาวยายจันอุษา 3. เพลงยาวเล่าเรื่องเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา จากสมุดไทยเลขที่ 20 โดยผู้แต่งเพลงยาว 2 ฉบับแรก เป็นชาวกรุงศรีอยุธยาโดยกำเนิด ส่วนฉบับที่ 3 แม้ไม่ทราบผู้แต่งที่แน่ชัดหากสันนิษฐานว่าผู้แต่งเป็นชาวกรุงศรีฯ เช่นกัน
เพลงยาวนิราศกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เสด็จพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 2286 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา และเริ่มรับราชการในตำแหน่งนายสุดจินดาหุ้มแพร มหาดเล็กในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ จึงเป็นบุคคลที่ทันเห็นเหตุการณ์เมื่อครั้งกรุงเก่า
เพลงยาวนี้ พระองค์ทรงพระนิพนธ์เมื่อครั้งรัชกาลที่ 1 โปรดให้ยกกองทัพไปตีพม่า ใน พ.ศ. 2336 กองทัพวังหลวงยกไปตีเมืองทวาย ส่วนกองทัพวังหน้ายกเป็นทัพเรือไปตั้งที่ปากจั่นเมืองระนอง ในฐานะของผู้นำและชนชั้นปกครอง ยังทรงแสดงทัศนะต่อการบริหารราชการของราชวงศ์บ้านพลูหลวงในช่วงเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 และพระเจ้าเอกทัศน์ ไว้ดังนี้
ทั้งนี้เป็นต้นด้วยผลเหตุ จะอาเพศกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่
มิได้พิจารณาข้าไท เคยใช้ก็เลี้ยงด้วยเมตตา
ไม่รู้รอบประกอบในราชกิจ ประพฤติการแต่ที่ผิดด้วยอิจฉา
สุภาษิตท่านกล่าวเป็นราวมา จะตั้งแต่งเสนาธิบดี
ไม่ควรอย่าให้อัครฐาน จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี
เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี จึงเสียทีวงศ์กษัตรา
เสียยศเสียศักดิ์นัคเรศ เสียทั้งพระนิเวศน์วงศา
เสียทั้งตระกูลนานา เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร
ในเพลงยาวนี้ระบุว่า สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทรงเลือกใช้และชุบเลี้ยงคนที่ไม่เหมาะสมกับราชการ ใช้สอยและชุบเลี้ยงแต่บรรดาข้าหลวงเดิม โดยไม่คำนึงถึงความรู้ความสามารถ ผู้ทรงพระนิพนธ์อ้างสุภาษิตโบราณ ที่สอนว่าคนเหล่านี้ไม่ควรที่จะนำมารับราชการ
สอดคล้องกับแนวคิดในวรรณคดีคำสอนสำหรับกษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยา เช่น “ปูมราชธรรม” วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย กล่าวไว้ว่า
“อันว่าพระมหากระษัตริย์เจ้าพระองค์ใดจะครองแผ่นพิภพภูมิมณฑลไซร้ พิจารณากิริยาแห่งราชเสวกทั้งปวง อย่าได้ว่าผู้นี้เป็นข้าเดิม ผู้นี้มิได้เป็นข้าเดิม ผู้นี้ควรเลี้ยง ผู้นี้มิควรเลี้ยง ให้เอากิริยาแห่งเสวกผู้นั้นๆ เป็นช้าง (หมายถึง เป็นใหญ่) ถ้ากิริยาผู้ใดกอปรด้วยสุวภาพแลรู้หลักไซร้ แม้นว่าเป็นบุตรแห่งจัณฑาลก็ดี ก็ควรเลี้ยงดูผู้นั้น”
เพลงยาวยายจันอุษา
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวถึงไว้ในตำนานละครว่า จันอุษาผู้แต่งเพลงยาวเป็นละครผู้หญิงกรุงศรีอยุธยาที่ชื่อจัน เคยแสดงเป็นตัวนางอุษาในละครเรื่องอุณรุท แสดงดีจนกระทั่งมีชื่อเสียง คนทั้งหลายจึงขนานนามตัวละครให้เป็นสร้อยติดชื่อตัวมาว่า “จันอุษา” สมัยกรุงธนบุรีได้เป็นครูละคร
เพลงยาวนี้ยายจันอุษาเขียนตอบนายมหานุภาพ พิมพ์ครั้งแรกในหนังสือเพลงยาวคารมเก่า เล่ม 1 โดยโรงพิมพ์ไทย เมื่อ พ.ศ. 2460 เพลงยาวโต้ตอบระหว่างนายมหานุภาพและยายจันอุษาเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนถึงเรื่องราวของบุคคลระดับล่างในราชสำนักสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ที่มีชีวิตรอดมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งเอกสารทางการไม่ค่อยกล่าวถึงบุคคลเหล่านี้มากเท่าใดนัก
ก่อนจะกล่าวถึงเพลงยาวของยายจันอุษา ขอเท้าความเพลงยาวของนายมหานุภาพก่อน นายมหานุภาพที่เล่าถึง “ความหลัง” ครั้งกรุงศรีอยุธยาว่า ได้ทันเห็นยายจันอุษาเมื่อครั้งยังเป็นนางละครในราชสำนัก ฝึกหัดละครเรื่องอุณรุท โดยอ้างถึงบท “นางศรีสุดา” ซึ่งเป็นนางรองในเรื่องอุณรุท อีกทั้งระบุถึงสถานที่ฝึกซ้อมละครของราชสำนักสมัยกรุงศรีอยุธยาว่าอยู่ที่ “ต้นลำไย” ข้างพระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาท ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่ปรากฏในเอกสารอื่นแต่อย่างใด
สำหรับหลักฐานเรื่องอุณรุทในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ นอกจากจะปรากฏในเพลงยาวชุดนี้แล้ว ยังปรากฏอยู่ในเรื่องบุณโณวาทคำฉันท์ของมหานาควัดท่าทราย ที่กล่าวถึงการแสดงละครอุณรุทในงานสมโภชพระพุทธบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความนิยมในละครเรื่องนี้ของราชสำนักครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
ส่วนเพลงยาวของยายจันอุษาที่ตอบนายมหานุภาพมีจำนวน 14 บท ในที่นี้ขอยกเนื้อหาเมื่อครั้งจันอุษารับราชการฝ่ายใน จนกระทั่งเสียกรุงก็มิได้พบหน้านายมหานุภาพ ดังนี้
ซึ่งให้ยืมสารามาทั้งนี้ เพราะมีมโนถวิลหา
ใคร่พบพักตร์ประจักษ์เนตรสักเวลา ด้วยจากมาตัวเจ้ายังเยาว์นัก
แต่ครั้งเมื่อพระสยมบรมพงศ์ อยู่บรรยงก์รัตนาสน์เฉลิมศักดิ์
จนเสียเมืองเคืองแค้นใจนัก มิได้พานพบพักตร์กันบ้างเลย
ข้อความที่ว่า “แต่ครั้งเมื่อพระสยมบรมพงศ์ อยู่บรรยงก์รัตนาสน์เฉลิมศักดิ์” นั้นหมายถึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เนื่องจากพระราชพงศาวดารระบุไว้ว่า ในช่วงต้นรัชกาลประทับอยู่ ณ พระราชวังบวรสถานมงคล ถึง พ.ศ. 2287 เกิดเพลิงไหม้ในพระราชวังบวรสถานมงคล จึงได้เสด็จฯ มาประทับยังพระราชวังหลวง ณ พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ข้อความนี้จึงเป็นร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่า ยายจันอุษาเข้าไปเป็นนางละครในเมื่อครั้งแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
เพลงยาวเล่าเรื่องเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา จากสมุดไทยเลขที่ 20
เพลงยาวนี้ ตามประวัติระบุว่าได้มาจากกรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ไม่ระบุชื่อผู้แต่ง สันนิษฐานว่าผู้แต่งเป็นข้าราชสำนักชาวกรุงเก่าสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ และมีชีวิตอยู่มาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
เนื้อหาในเพลงยาวนั้น ส่วนต้นบอกเล่าบรรยากาศในราชสำนักครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ส่วนท้ายกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 โดยเนื้อความตอนหนึ่งผู้แต่งกล่าวถึงการตามกระบวนเสด็จไปยังพระพุทธบาทสระบุรี ของกษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยา ณ เขาสัจจพันธคีรี เมืองสระบุรี ดังนี้
ปางเสด็จโดยเสด็จพยุหบาตร ไปอภิวาทบทรัตน์พระชินสีห์
ยังเขาสัจจพันธคีรี จำเริญพระบารมีให้ยิ่งไป
อันสุริวงศ์พงศ์ประยูรตระกูลชาติ เสนาพฤฒามาตย์น้อยใหญ่
มหาดเล็กเด็กชาชาวใน หญิงชายไพร่ฟ้าประชากร
ที่กล่าวข้างต้นนี้เป็นเพียงเนื้อหาบางส่วนที่ คนกรุงศรีอยุธยา เขียนถึงกรุงศรีฯ ที่แม้จะผ่านมา 200 กว่าปี หากกลิ่นอายของเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ยังคงไม่จาง
อ่านเพิ่มเติม :
- คำว่า ชำเรา ที่พบตั้งแต่สมัย กรุงศรีอยุธยา ฤาจะไม่ใช่ภาษาไทย แต่ไปขอจากเขมร?
- อย่างไรถึงเรียกว่างาม? ย้อนดู beauty standard สาวยุค “กรุงศรีอยุธยา” ต้องฟันดำถึงจะสวย?
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2566