พระอรณพนาวาณัติก์ “พันท้ายนรสิงห์” สมัยรัชกาลที่ 6 เล่าวินาทีชีวิต เรือหวิดชน!

เรือพระที่นั่ง ศรีสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งลำทรง กระบวนพยุหยาตราทางชลมารคเลียบพระนครร พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช
เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งลำทรง ในกระบวนพยุหยาตราโดยทางชลมารคเลียบพระนครในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช วันที่ 4 ธ.ค. พ.ศ. 2454 รัชกาลที่ 6 (ภาพจาก ประมวลภาพประวัติศาสตร์ไทย พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมัยรัตนโกสินทร์, ศิลปากร 2550)

นาวาโท พระอรณพนาวาณัติก์ (ลออ มหาศร) เป็นผู้บังคับการ เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ สมัยรัชกาลที่ 6 และ 7 ตำแหน่งของพระอรณพนาวาณัติก์เทียบได้กับ “พันท้ายนรสิงห์” แห่งเรือพระที่นั่งเอกชัยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ครั้งหนึ่งมีประสบการณ์สุดระทึก หวิดเรือชน!

ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ปรากฏชื่อเรือพระที่นั่ง ศรีสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งลำทรง ในกระบวนพยุหยาตราโดยทางชลมารคเลียบพระนคร ซึ่งทหารเรือที่มีชื่อเสียงจากบทบาทผู้บังคับการ เรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์ มีนามว่า นาวาโท พระอรณพนาวาณัติก์ (ลออ มหาศร) ซึ่ง “ไทยน้อย” นักเขียนลือชื่อ บรรยายไว้ว่า ตำแหน่งของพระอรณพนาวาณัติก์เปรียบได้กับ “พันท้ายนรสิงห์” แห่งเรือพระที่นั่งเอกชัยในสมัยกรุงศรีอยุธยา

“ไทยน้อย” ได้สนทนากับพระอรณพนาวาณัติก์ ซึ่งเล่าจุดเริ่มต้นของเส้นทางราชนาวีของตัวเองอันเป็นนักเรียนนายเรือชุดแรกๆ ระหว่างที่โลกกำลังเปลี่ยนสภาพเรือใบมาเป็นเรือกลไฟเมื่อกว่า 100 ปีก่อนว่า เดิมทีอยากเป็นตำรวจ และเคยหนีจากโรงเรียนนายเรือไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงมาพบเข้าเมื่ออยู่ที่ปากคลองมอญ จึงนำกลับเข้ามาในเส้นทางอีกครั้ง แต่ด้วยอายุเวลานั้นที่มากกว่าปกติ กรมหลวงชุมพรฯ เห็นว่าไม่เหมาะที่จะให้เป็นนักเรียนนายเรือ จึงประทานยศพันจ่าโทในกองเรือกลชั้น 4 กินเงินเดือน 46 บาท (ตามค่าเงินเดิมในสมัยก่อน)

“…ผมใกล้ชิดกับในหลวงมาก ในฐานะที่เคยเป็นข้าหลวงเดิมของพระองค์ท่านมาตั้งแต่เด็กๆ ท่านประทับเรือครั้งใดก็ต้องหมายถึงผม” พระอรณพนาวาณัติก์ เล่า

เมื่อ “ไทยน้อย” สอบถามเรื่องหนักอกหนักใจในความรับผิดชอบที่แตกต่างกันระหว่างเรือเหล็กกับเรือไม้ พระอรณพนาวาณัติก์ตอบว่า

“เรือรบนั้นใครๆ ที่สำเร็จ ร.ร. นายเรือ ก็ทำหน้าที่ได้ทุกคน เพราะมันเป็นไปตามสูตร แต่เรือไม้ที่มีรูปร่างเป็นหงส์ทั้งลำยาวเหยียดหัวสูงตระหง่านมีฝีพายตั้ง 50-60 คนเช่นนั้น แน่นอนทีเดียวที่ใครก็ตาม แม้จะสำเร็จมาจากโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือจากราชนาวีอังกฤษก็ทำไม่ได้…

มีอยู่คราวหนึ่งผมป่วย และ ร.6 จะต้องใช้เรือสุพรรณหงส์ (คัดลอกข้อความจากต้นฉบับที่เป็นภาษาสนทนาไม่ได้ใช้ราชาศัพท์) ไปในงานกฐิน เสนาบดีกระทรวงทหารเรือจึงมีคำสั่งให้ผู้บังคับการเรือรบคนหนึ่งไปทำหน้าที่แทนผม หมายถึงว่าให้ไปแต่งตัวนุ่งผ้าม่วงเชิงทองสวมหมวกทรงประพาส และใส่เสื้อสีเยียระบับ เท่านั้นแหละคุณ เหงื่อกาฬแตกวิ่งไปกราบผมปะหลกๆ ขอให้ช่วยชีวิตไว้ เพื่อนกันเองรุ่นเดียวกับผมนั่นแหละคุณ”

หากสงสัยว่าทำไมเพื่อนร่วมรุ่นของพระอรณพนาวาณัติก์มีความกังวลใจถึงขั้นนั้น คำตอบคือ…

“ถ้าเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ล่มไปก็ประหารชีวิตเท่านั้นแหละคุณ ไม่มีโทษทัณฑ์อย่างอื่นเลย ดูแต่สมัยพระพุทธเจ้าเสือ เพียงหัวเรือเอกชัยหักก็ผิดราชประเพณีต้องราชทัณฑ์ของกฎมณเฑียรบาลแล้ว”

เมื่อพูดถึงราชทัณฑ์จากความผิดพลาด ไม่เพียงแค่เรื่อง ทำเรือล่ม แต่โทษประหารยังมีอีกกรณี คือ การสั่งด้วยวาจา ซึ่งพระอรณพนาวาณัติก์เล่าว่า การสั่งการด้วยวาจาแก่ฝีพายที่มีจำนวนถึงครึ่งร้อยเป็นการผิดประเพณีนิยม มีโทษถึงชีวิต กรณีนี้ได้รับคำอธิบายเพิ่มว่า

“ประเพณีของกฎมณเฑียรบาล พูดข้ามในหลวงไม่ได้ การฝ่าฝืนจะมีทัณฑกรรมที่รุนแรงที่สุด คือ ตัดหัว…ถึงจะเกิดกรณีฉุกเฉินอย่างไรก็ใช้วาจาคือตะโกนสั่งการไม่ได้เป็นอันขาดนอกจากจะใช้กรับ – กรับพวงที่ผู้บังคับการเรือสุพรรณหงส์จะใช้ได้เท่านั้น หมายถึงสัญญาณที่ได้ซักซ้อมและฝึกฝนกันไว้นานแล้วอย่างชำนิชำนาญ วาจาทุกประโยคจะต้องสงบลงนับแต่วินาทีแรกที่ในหลวงก้าวพระบาทลงประทับในเรือทันที นอกจากสัญญาณสั่งกรับพวงเท่านั้น ตั้งแต่ออกเรือได้ ซ้าย-ขวา เลี้ยวหรือเตรียมจอดเรือ กรับเท่านั้นจะมีหน้าที่พูดแทน”

เรื่องราชประเพณีนี้มีหลักฐานดังเช่นเมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 5 อย่างเหตุการณ์ของ “สมเด็จพระนางเรือล่ม” หรือ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี อัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งมีการบอกเล่ากันมาว่า เรือพระที่นั่งสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ล่มลงเมื่อครั้งตามเสด็จประพาสบางปะอิน เมื่อ พ.ศ. 2423 นอกเหนือจากสาเหตุเรื่องความประมาทในการเดินเรือแล้ว สาเหตุสำคัญอีกประการ คือ กฎมณเฑียรบาลที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาว่า ห้ามแตะต้องพระวรกายของพระมเหสี มิฉะนั้นจะถูกประหารทั้งตระกูล ทหารเรือจึงไม่กล้ากระโดดลงไปช่วยเหลือพระนาง

สำหรับกรณีคับขันเยี่ยงนี้ พระอรณพนาวาณัติก์ ยังเล่าว่า เคยประสบในครั้งนำเสด็จรัชกาลที่ 6 เสด็จฯ ทอดพระกฐินวัดราชาธิวาส

“ในชีวิตที่ผมเป็นผู้บังคับการเรือสุพรรณหงส์ มีคราวที่คับขันยิ่งก็คือ ในคราวที่นำเสด็จ ร.6 ไปทอดพระกฐินวัดราชาธิวาส เรือสุพรรณหงส์พุ่งปราดเข้าไปเทียบกับฉนวน ทำอีท่าไหนไม่ทราบ หัวเรือหวุดหวิดจะกระแทกกับฉนวน ผมต้องกระโจนจากเรือทั้งๆ ที่อยู่ในเสื้อเยียระบับ เหรียญตราเต็มหน้าอก เอาหน้าอกนั่นแหละคุณปะทะกับเสาใหญ่ที่ท่าน้ำไว้ในฉับพลัน ก็จะร้องตะโกนสั่งทหารให้ช่วยแก้ไขก็ทำไม่ได้ กรับพวงจะให้สัญญาณอย่างใดก็ไม่ทันท่วงทีเสียแล้ว

ผมยังโชคดีอยู่ จึงสามารถหยุดเรือพระที่นั่งไว้ได้ทันท่วงที มิฉะนั้นถ้าหัวเรือไม่หักก็อาจจะกระแทกกับหัวสะพานถึงล่มลงไปได้ ผมก็พันท้ายนรสิงห์คนที่ 2 เท่านั้นเอง”

…เมื่อร. 6 เสด็จขึ้นท่าฉนวนแล้ว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มาตบที่ไหล่ผมบอกว่าพระอรฯ มันเก่ง นี่คือสิ่งที่บรรดาผู้บังคับการเรือรบทั้งหลายกลัวนักกลัวหนา ถ้าจะให้มาบังคับการเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ละก็ ร้อยทั้งร้อยหัวขาดหมด”

ด้วยความสามารถและคุณงามความดีที่มี เป็นผลให้ พระอรณพนาวาณัติก์ ได้รับประทานเหรียญตรา เข็ม และแหนบมากมายจากพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ อาทิ แหนบของสมเด็จพระปิตุลาฯ ของเจ้าฟ้าบริพัตรฯ เจ้าฟ้าอัษฎางค์ฯ กรมหลวงชุมพรฯ กรมหลวงสิงห์ฯ และอีกมากมาย

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่ 


อ้างอิง :

ศานติ ภักดีคำ. พระเสด็จโดยแดนชล เรือพระราชพิธีและขบวนพยุหยาตราทางชลมารค. กรุงเทพฯ : มติชน, 2562

ไทยน้อย (เสรา เรขะรุจิ). 30 คนไทยที่ควรรู้จัก. กรุงเทพฯ : บำรุงบัณฑิต, ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์


เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 26 ตุลาคม 2566