ผู้เขียน | ธนกฤต ก้องเวหา |
---|---|
เผยแพร่ |
สุกี้ คือ “เจ้าทองสุก” ผู้นำชุมชนชาว “มอญ” ค่ายโพธิ์สามต้นในสงคราม เสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 มีบทบาทในการพิชิตค่ายบางระจัน และดูแลพื้นที่กรุงเก่าหลังกรุงศรีอยุธยาล่มสลาย
“สุกี้” ตรงกับคำว่า “ชุกคยี” ในภาษาพม่า แปลว่า “นายกองใหญ่” หรือ “พระนายกอง” ในภาษาไทย เป็นคำเดียวกับ “ซุ่งหยี” ในเอกสารจีน ซึ่งเพี้ยนจากชุกคยีอีกที และใช้เรียกบุคคลเดียวกัน
เจ้าทองสุกได้รับยศ “ชุกคยี” หรือสุกี้ จาก เนเมียวสีหบดี แม่ทัพของพระเจ้ามังระกษัตริย์พม่า ผู้บัญชาการรบในสงครามปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2309-2310
ทั้งนี้ ในระบบการปกครองสมัยอยุธยา มีการแต่งตั้งขุนนางตำแหน่ง “นายกอง” ทำหน้าที่ดูแลและควบคุมคนในชุมชน โดยเฉพาะชุมชนลาวกับชุมชนมอญที่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสมัยอยุธยาตอนปลาย ดังนั้น ก่อนเจ้าทองสุกจะเป็นนายกองของกองทัพพม่า คนผู้นี้คือ “นายกองมอญ” ของฝ่ายอยุธยา “สุกี้” จึงไม่ใช่นายกองพม่าที่เพิ่งถูกแต่งตั้ง
บันทึกของ นิโกลาส์ แชรแวส (Nicolas Gervaise) บาทหลวงชาวฝรั่งเศส กล่าวถึงสาเหตุการมีตำแหน่ง “นายกองมอญ” ไว้ว่า
“โดยที่คนเหล่านี้ (คนลาวและมอญ-ผู้เขียน) มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เกรงว่าเมื่อรวมกำลังกันเข้าแล้วจะก่อความกระด้างกระเดื่องขึ้น จึงได้จัดแจกแยกย้ายให้อพยพไปอยู่ที่ต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร พระเจ้าแผ่นดินทรงแต่งตั้งนายกองให้คอยไปดูแลควบคุมความประพฤติและจัดระบบการปกครองให้เป็นไปตามกฎหมายของบ้านเมือง”
“…คนลางคนเหล่านี้มีพื้นเพดั้งเดิมเป็นคนลาวและคนมอญ ซึ่งคนสยามจับเป็นเชลยศึกและกวาดต้อนเข้ามาในราชอาณาจักร”
หลักฐานทางโบราณคดีและศิลปกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย แสดงให้เห็นว่ามีชุมชนมอญในย่านเก่าของเมือง ชาวมอญไม่เพียงเป็นประชากรหลักของราชธานีกรุงศรีอยุธยา แต่รวมถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยาด้วย
สำหรับค่ายโพธิ์สามต้น แม้จะเรียกว่าค่าย แต่บริเวณนี้คือชุมชนชาวมอญ อนึ่ง เข้าใจว่า “ค่าย” ใช้เรียกอาณาเขตชุมชนยามปกติที่มิได้อยู่ในห้วงสงครามด้วย เช่น ค่ายโปรตุเกส ค่ายญี่ปุ่น ก็คือ หมู่บ้านโปรตุเกส หมู่บ้านญี่ปุ่น นั่นเอง
เมื่อพระเจ้าอลองพญายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาในต้นสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ ปรากฏชื่อ “ค่ายโพธิ์สามต้น” เป็นสถานที่ตั้งทัพของทัพหน้าพม่า จากจุดนี้ กองทัพพม่าสามารถตีทัพของขุนนางจีนฝ่ายอยุธยาแตกพ่ายถอยไป ก่อนจะยกมาตั้งอยู่ที่วัดหน้าพระเมรุและวัดหัสดาวาส จึงเชื่อได้ว่าชาวมอญแห่งโพธิ์สามต้นอาจเข้ากับฝ่ายพม่าตั้งแต่นั้น
นายกองมอญมีหน้าที่ควบคุมชาวมอญให้อยู่ในระเบียบบ้านเมือง แต่หากเป็นผู้นำการละเมิดเสียเอง ย่อมสร้างความเสียหายไม่น้อย เพราะขนาดและศักยภาพของชุมชนชาวมอญนั้นมีมาก นอกจากชาวจีนแล้ว มอญคือกลุ่มชนที่ตั้งถิ่นฐานกุมเส้นทางคมนาคมทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจการค้าทั้งในและนอกราชอาณาจักร
จึงไม่น่าแปลกใจว่า เหตุใดชาวมอญกลายเป็นชาติพันธุ์ที่มีบทบาทต่อการดำรงอยู่หรือล่มสลายของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งพม่าเองเล็งเห็นประโยชน์จากเรื่องนี้ แล้วอาศัยความใกล้ชิดทางภาษาและวัฒนธรรมดึงมอญมาเป็นพันธมิตรในสงครามปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา
อย่างไรก็ดี นอกจาก มอญ ที่เป็น “กบฏ” ต่ออยุธยา หรือแปรพักตร์ไปเข้ากับพม่า ยังมีกลุ่มที่อยู่ข้างอยุธยา และร่วมทำศึกต่อต้านพม่าอย่างกล้าหาญ เช่น กลุ่มของ หลวงเถกิง พระบำเรอภักดิ์ พระยาเกียรติ พระยาราม และชาวมอญจากบ้านสามโคก บ้านป่าปลา และหัวรอ
อ่านเพิ่มเติม :
- ชะตากรรมเจ้าหญิงอยุธยาหลังกรุงแตก ย้อนบันทึกพม่าที่น่าสลดใจ
- พงศาวดารพม่าระบุชื่อแม่ทัพไทยบู๊แหลกก่อนกรุงแตกครั้ง 2 ไม่ “เหยาะแหยะ” ตามบันทึกฝั่งไทย
- พระราชนิพนธ์ ร.5 ระบุ ช่วงปลายกรุงศรี และเหตุที่กรุงแตก เพราะฆ่ากันเอง
อ้างอิง :
กำพล จำปาพันธ์ และโมโมทาโร่. (2566). Downtown Ayutthaya ต่างชาติต่างภาษา และโลกาภิวัตน์แรกในสยาม-อุษาคเนย์. กรุงเทพฯ : มติชน.
นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2540). การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี. กรุงเทพฯ : มติชน.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 15 กันยายน 2566