ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2566 |
---|---|
ผู้เขียน | กำพล จำปาพันธ์ |
เผยแพร่ |
หลักฐานการพบแหล่ง “ทอง” เพิ่งมีช่วงปลายสมัย “อยุธยา” แล้วก่อนหน้านั้น “ทองอยุธยา” มาจากไหน?
อยุธยาทั่วทั้งราชอาณาจักรและตลอด 417 ปี มีหลักฐานแน่ชัดถึงการพบแหล่งทอง ก็ในรัชกาล สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ พบที่ตำบลบางสะพาน (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) แต่เครื่องทองที่พบจาก กรุปรางค์วัดราชบูรณะและวัดพระราม เป็นสิ่งยืนยันว่า อยุธยามีทองมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นแล้ว
คำถามก็คือ ในเมื่อไม่มีแหล่งทองหรือเหมืองขุดทองของตนเอง อยุธยาไปได้ทองมาจากไหน?
“ทองอยุธยา” มาจากไหน?
ความเป็นไปได้จากการประมวลข้อมูลประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ พบว่าอยุธยาได้ทองมาจากภายนอกด้วยวิธีการ 3 อย่างด้วยกันดังนี้
1. เป็น “ส่วยบรรณาการ” ที่ได้รับมาจากหัวเมืองประเทศราช จากบันทึกของ โยสต์ เซาเต็น (Joost Schouten) พ่อค้าฮอลันดา ที่เข้ามาในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมถึงสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้ระบุไว้ว่า ในรายการส่วยบรรณาการที่อยุธยาได้จากหัวเมืองขึ้นของตนนั้นมี “ทอง” รวมอยู่ในนั้นด้วย
อำนาจต่อหัวเมืองแสดงออกผ่านการเป็นผู้ครอบครองทองเป็นอันมาก เซาเต็นยังได้บอกด้วยว่า การที่กษัตริย์อยุธยาเป็นผู้ครอบครองทองเป็นอันมากนี้ทำให้ “ทรงได้รับสมญาว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มั่งคั่งพระองค์หนึ่งทางแถบอินเดีย”
2. เป็น “สินสงคราม” ได้มาจากการเก็บริบเอาจากบ้านเมืองที่แพ้สงคราม แม้ว่าส่วนนี้จะไม่ปรากฏหลักฐานอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เป็นที่คาดได้ว่า ในจำนวนทรัพย์สินของมีค่าต่าง ๆ ที่อยุธยาได้รับมาเนื่องจากชัยชนะในสงครามกับเพื่อนบ้านนั้น ต้องมีทองรวมอยู่ด้วย และเมื่ออยุธยาตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ทองและอัญมณีมีค่าส่วนหนึ่งก็จะถูกถ่ายโอนไปยังบ้านเมืองอื่นเช่นกัน
3. ได้มาจากการค้า สองปัจจัยข้างต้น (ส่วยกับสินสงคราม) ส่วนใหญ่เมื่อได้มาแล้วย่อมตกไปอยู่กับราชสำนักและชนชั้นนำ บันทึกของ โยสต์ เซาเต็น ในที่เดียวกันยังได้กล่าวถึงการที่เหล่าพ่อค้าต่างชาติมักนำทองเข้ามายังอยุธยาตลอดปีอีกด้วย
โดยอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพระคลังสินค้า ตามบันทึกของอาลักษณ์ในคณะทูตเปอร์เซียที่เข้ามาในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ได้ระบุถึงดินแดนแหล่งทองโพ้นทะเลที่มีการติดต่อกับอยุธยา อาทิ ศรีลังกา คาบสมุทรมลายู อาเจะห์ หมู่เกาะอันดามัน มะนิลา ญี่ปุ่น เป็นต้น
โดยเฉพาะที่มะนิลาภายใต้การปกครองของสเปนสมัยนั้น อาลักษณ์ของคณะทูตเปอร์เซียยังระบุด้วยว่า “มีชาวจีนมาอาศัยที่เกาะนี้ ส่วนมากเป็นช่างทองและช่างแกะสลัก”
นอกจากนี้ แหล่งอัญมณีสำคัญของภูมิภาคอุษาคเนย์ที่มีการทำเหมืองขุดทองมาแต่โบราณ เช่น ล้านช้างและกัมพูชา ก็มีหลักฐานข้อมูลกล่าวถึงการนำทองจากบริเวณดังกล่าวนี้มายังอยุธยา อาทิ จดหมายเหตุแกมป์เฟอร์ (Engelbert Kaempfer) ระบุว่า พ่อค้าลาวล้านช้างได้นำเอาแร่อัญมณีที่ขุดได้จากเหมืองของตนเอง เช่น “ทองคำ ทับทิม มุกดาหาร” ไปขายให้แก่อยุธยา ล้านนา และกัมพูชา
จากเอกสาร “คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม: เอกสารจากหอหลวง” ได้ระบุถึงพ่อค้าเกวียนชาวเขมรจากเมืองพระตะบองได้นำเอา “ทองพรายพลอยแดง” เข้ามาขายยังตลาดที่อยุธยาเป็นประจำทุกปี
ใน 3 วิธีการข้างต้นนี้ การค้าดูจะเป็นเหตุปัจจัยให้ได้ทองมามากที่สุดและอย่างสม่ำเสมอด้วย การค้าทองที่แพร่หลายทำให้ “เหรียญทอง” ที่ผลิตจากอยุธยา เป็นของมีค่า สามารถใช้แลกเปลี่ยนกันได้แม้ในดินแดนห่างไกล
จาก “Suma Oriental” บันทึกของ โตเม ปิเรส (Tomé Pires) ชาวโปรตุเกส เขียนระหว่าง ค.ศ. 1512-15 (พ.ศ. 2055-58) ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงระยะแรก ๆ ที่โปรตุเกสเข้ามาติดต่อกับสยาม ก็ได้ระบุถึงการแพร่หลายของเหรียญเงินและเหรียญทองของสยามในระบบการค้าพื้นเมืองแถบมะละกา เคดะห์ และคาบสมุทรมลายู โดย “เหรียญเงินและทองของสยาม มีค่าเท่ากับหนึ่งมะละกาครึ่ง… มีใช้ทั่วราชอาณาจักร… เหรียญเงินและทองนั้นเป็นเหรียญที่ใหญ่และมีค่ามาก”
ดังนั้น จึงไม่เป็นที่แปลกใจเลยว่า เหตุใดโปรตุเกสจึงได้ติดต่อเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีและทำการค้ากับอยุธยา อย่างเกือบจะทันทีที่ยึดเมืองท่ามะละกาได้
ในเมื่ออยุธยาเวลานั้นเป็นแหล่งที่มีเหรียญทอง ซึ่งเป็นที่ต้องการของชาวยุโรปเป็นอันมาก อีกทั้งทองอยุธยายังมีค่าในระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรามากกว่าเหรียญพื้นเมืองในมลายูสมัยนั้น
อ่านเพิ่มเติม :
- มหาสมบัติเจ้านครอินทร์ ทองเหลือใช้ (?) แห่งกรุวัดราชบูรณะ
- เบื้องหลังภาพสะท้อน “เครื่องทองโบราณอยุธยา” พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา
- จริงหรือ!? โจรขุดกรุวัดราชบูรณะ โดนอาถรรพณ์-เป็นบ้า ถือพระแสงขรรค์ไปรำที่ตลาดหัวรอ
หมายเหตุ : เนื้อหานี้คัดส่วนหนึ่งจาก “เครื่องทองอยุธยา เจ้าสามพระยา และโลกาภิวัตน์แรกในสยาม-อุษาคเนย์” เขียนโดย กำพล จำปาพันธ์ ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2566 [เว้นวรรคคำ ปรับย่อหน้าใหม่ และเน้นคำเพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม]
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 18 สิงหาคม 2566